เทศน์บนศาลา

ธรรมาธิปไตย

๒๗ ก.พ. ๒๕๔๙

 

ธรรมาธิปไตย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจภาวนา ตั้งใจเลย สิ่งที่มีคุณค่าคือเรื่องของหัวใจ สิ่งที่เป็นนามธรรมกลับมีคุณค่า กลับเป็นรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปธรรม เห็นไหม สิ่งที่ตาจับต้องได้ ตาเห็นได้ สัมผัสได้ จับต้องได้ สิ่งนี้เป็นรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปธรรม เช่น ร่างกายนี่เกิดมาตั้งแต่เด็กแล้วเติบโตขึ้นมาแล้วก็ชราคร่ำคร่าไป ดูสิ ต้องตายหมด สิ่งที่ต้องตายหมด นี่รูปธรรมมันเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังหมดเลย

เรื่องของโลก โลกนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอจินไตย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าโลกนี้เป็นอจินไตย มันไม่มีที่จบสิ้นไง มันจะมีอยู่อย่างนี้แล้วมันจะหมุนไปอย่างนี้ แล้วมันจะมีความเป็นไปของการสับเปลี่ยน เป็นเพราะมันเป็นอนิจจัง เพียงแต่ว่าเรามาเกิดช่วงไหนของโลก เรามาเกิดช่วงไหนไง สังคมที่มีความสงบร่มเย็นเราก็มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ

เวลาสังคม เห็นไหม อย่างเช่นเวลาเกิดสงครามโลกนี่ ทุกอย่างอัตคัดขาดแคลนไปหมดเลยนะ นี่เพราะใคร เพราะผู้นำไม่กี่คน ทำให้เกิดสังคมมันแปรไป แต่อันนั้นเราไปมองว่าเป็นประวัติศาสตร์นะ แต่ถ้าเรามองเรื่องของกรรมล่ะ กรรมมันเป็นไปไง สิ่งที่การขัดแย้งกัน การโต้แย้งกันของโลก มันเป็นอย่างนั้น มันทำให้เกิดสภาวะแบบนั้น นี่มันเป็นกรรมของสัตว์โลก

ถ้าสัตว์โลกเกิดมาในสภาวะแบบนั้น เราย้อนกลับมาที่เราสิ ถ้าเรานี่เรามีอำนาจวาสนาขนาดไหน เกิดมาเป็นทุกข์เป็นยากแน่นอน เราเกิดมานี่ ดูอย่างพ่อแม่สิ อพยพมาจากเมืองจีน เสื่อผืนหมอนใบ เขาอพยพกันมา แล้วเขามาสร้างเนื้อสร้างตัวกันที่นี่ รุ่นพ่อรุ่นแม่ต้องมาบุกเบิกนะ แล้วเรานี่เรามาเกิดในนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเป็นเชื้อสาย เรามาเกิดในนี้

เราเกิดมาเป็นเด็กเราก็ว่าเราก็ทุกข์เราก็ยาก เพราะสังคมมันยังไม่เจริญอย่างนี้ใช่ไหม สังคมในสมัยเราเป็นเด็กๆ กันอยู่นี่ สังคมเป็นการช่วยเหลือตัวเองในท้องถิ่น สิ่งที่ท้องถิ่นก็เป็นไปในท้องถิ่น แต่ในปัจจุบันนี้สิ่งสภาวะแบบนั้นหมดไปแล้ว เพราะอะไร เพราะความเจริญของการสื่อสาร การเจริญของการคมนาคม การเจริญมาหมดน่ะ สิ่งที่เจริญหมดเราก็สะดวกสบาย

แต่ย้อนกลับมาสิ ย้อนกลับมา เรามีความสุขไหม เราเกิดมาเพื่ออะไร สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลกนะ นี่ “อธิปไตย” สิ่งที่เป็นอธิปไตยนะ นี่เวลาเราเลือก เราเลือกแบ่งเป็นประเทศแบ่งเป็นอธิปไตย สิ่งที่เป็นอธิปไตย นี่เป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลกแบ่งเขตเป็นประเทศ เป็นอำเภอ เป็นจังหวัด แล้วนี่เขาโต้แย้งกันเองนะ

ดูสิ เวลาจัดกีฬาแข่งขันกัน กีฬาเขต เขตใครเขตมัน จะเอาชนะคะคานกัน นี่เวลาระหว่างประเทศ ระหว่างภูมิภาค ระหว่างประเทศ นี่มันเป็นอธิปไตย พอเป็นอธิปไตยเราก็ไปยึดมันว่าสิ่งนี้มันเป็นเขต เป็นการแบ่งแยกแล้ว ต้องเป็นเขตของเรา เรามีความยึดมั่นในสิ่งนั้น แล้วพอโลกเจริญขึ้นมา ก็บอกเลยว่าไม่มีพรมแดน โลกนี้เป็นหนึ่งเดียว...นี่มันอยู่ที่แนวคิด อยู่ที่สังคม อยู่ที่เป็นไป เรื่องของโลกไม่ใช่เรื่องของธรรม แต่โลกกับธรรมมันอยู่ด้วยกัน

เพราะเราเกิดตามกรรม กรรมนี่พาตายพาเกิด แล้วมันมีศาสดา มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นผู้ที่หูตาสว่าง หูตาสว่างเพราะว่าท่านสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เห็นไหม ตรัสรู้ด้วย ว่าเป็นไป...ชีวิตนี้มาจากไหน เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาทำไม เกิดมาความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน

ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...เวลาโลกเจริญ เวลาเป็นไปเราก็มองว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา เราเกิดมาเรามีบุญมีกุศล นี่เขาคิดกันไปอย่างนั้นนะ ดูสิ ดูสมัยพุทธกาล ฤๅษีชีไพรเขาก็หาอธิปไตยของเขาเจอนะ อธิปไตย คือ ตัวจิต สิ่งที่เป็นตัวจิตนะ อธิปไตยอยู่ที่ไหน อธิปไตยของโลกเขามันแบ่งเขตสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ นี่มนุษย์จากภายนอก ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ต้องเสมอภาค นั่นเป็นอธิปไตย เป็นสิทธิเสรีภาพของมนุษย์

แต่อธิปไตยของจิตล่ะ ถ้าจิตมันคลุกเคล้าไปด้วยตัณหาความทะยานอยาก ด้วยความคิด ด้วยความฟุ้งซ่าน ด้วยความสิ่งต่างๆ ครอบงำอยู่ มันก็เหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่งนะถ้าไม่มีศีลธรรม ถ้ามีศีลธรรมขึ้นมา เรามีศีลมีธรรมของเราขึ้นมา มันก็เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มีปัญญาที่คิดค้นสิ่งต่างๆ เครื่องอำนวยความสะดวกให้กับพวกเรากันเอง ให้สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ขยายออกไปมหาศาลเลย นี่ไง เป็นมนุษย์

แต่ถ้ามีศีลธรรมเข้ามา อธิปไตยของเรา คือถ้าจิตมันสงบเข้ามา เวลาจิตมันสงบขึ้นมานี่ขั้วบวกขั้วลบ มันเสมอภาคกัน มันเหาะเหินเดินฟ้าได้นะ สิ่งที่เหาะเหินเดินฟ้าได้เพราะอะไร เพราะเหาะได้ เข้าสมาบัตินี่ตั้งโปรแกรมของจิตไว้ เหาะ แล้วก็เข้าสมาบัติ พอถึงจุดหนึ่งของมัน มันจะไปตามอำนาจของจิตที่มันพ้นจากแรงดึงดูดของโลก โลกมีแรงดึงดูดทุกอย่างโยนขึ้นไปจะตกกลับมาที่โลก

อธิปไตยของจิตเหมือนกัน ตัวจิตคือตัวโลก แล้วตัวตัณหาความทะยานอยาก ความคิด ความปรุง ความแต่ง เกิดมาจากใจ เกิดมาจากใจมันก็คลุกเคล้ากัน มันเป็นขั้วบวกขั้วลบอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมาโดยที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้นี่ ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำความสงบของเขาได้ ถ้าทำความสงบของเขาได้เขาหาอธิปไตยของเขาได้ มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นแรงดึงดูดของกรรมมันบาลานซ์กัน สิ่งที่บาลานซ์กันมันเหาะเหินเดินฟ้าได้เหมือนกัน นี่เพราะฤๅษีชีไพรสมัยพุทธกาลก็เหาะได้

ในเมื่อเขาเจออธิปไตยของเขา อธิปไตยนี้มันปกครองด้วยอวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชาในหัวใจ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษาเล่าเรียนมาขนาดไหน ปฏิเสธเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เป็นอธิปไตยมันก็เป็นตัวตน มันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ มันเป็นภวาสวะ มันเป็นสิ่งที่จิตนี้เหาะเหินเดินฟ้า จิตนี้ก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเหมือนกัน นี่ถึงค้นคว้ามาด้วยปัญญาไง ภาวนามยปัญญา

ศาสนาของเราเจริญรุ่งเรืองมาจากตรงนี้ ตรงที่ว่ามีอาสวักขยญาณทำลายกิเลสอวิชชา ถ้าทำลายกิเลสอวิชชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่เป็นผู้ที่หูตาสว่างแล้ววางธรรมและวินัยไว้ให้เราก้าวเดินตาม เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมานี่โลกจะเจริญขนาดไหน โลกจะเสื่อมทรามขนาดไหน มันเป็นบุญเป็นกรรมของสัตว์โลกที่เกิดมาในสภาวะแบบนั้น

ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ การเกิดและการตาย เวียนตายเวียนเกิด แม้แต่วิจัยเรื่องทางโลกก็น่าสลดสังเวชแล้ว มนุษย์ ๑๐๐ ปี สัตว์แมลงวัน ๗ วัน ใน ๑๐๐ ปีแมลงวันจะเกิดกี่รอบกี่พันรอบในวังวนชีวิตของเขา ในวังวนชีวิตนะ แต่เขาก็ไม่เกิดเป็นแมลงวันหรือสัตว์ตลอดไป เห็นไหม มันเวียนตายเวียนเกิดไป

ในสมัยพุทธกาล พระได้จีวรใหม่มา ตัดจีวรกันอยู่ ด้วยความผูกพันกับจีวรไปเกิดเป็นเลน จากพระจากมนุษย์นี่ จากพระด้วยไปเกิดเป็นเลน พ้นจากเลน...พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าเพราะนี่หูตาสว่าง เห็นความเกิดและความตาย เห็นการหมุนไปของจิต จิตจะหมุนไป ในเมื่ออธิปไตย แม้แต่อธิปไตยของจิตเราก็หาไม่เจอ แล้วเราไม่มีอาสวักขยญาณไปทำลายอธิปไตยตัวนี้ ไปทำลายกิเลสอวิชชาในหัวใจนี้ มันยังเวียนตายเวียนเกิด

แม้แต่เป็นพระประพฤติปฏิบัติคุณงามความดี ขณะตายไป จิต ความคิดกับจิต อธิปไตยกับสิ่งที่อยู่บนโลก สิ่งที่ความเป็นไประหว่างความคิดกับจิตมันยังชำระสะสางกันไม่ได้ เห็นไหม เห็นจีวรอยู่จากภายนอก จีวรเป็นเครื่องอาศัย สิ่งที่เป็นเครื่องอาศัยเราห่มเพื่อกันหนาว กันร้อน กันแดด กันฝุ่น ห่มเพื่อปิดกั้นความน่าละอายเรื่องของสรีระ สิ่งนี้เป็นแค่เครื่องอาศัย แต่ในเมื่อยังไม่ได้ทำลาย ไม่ได้ชำระกิเลสเลย สิ่งนี้ไปผูกพันมัน ดับขันธ์ลงไป เวลาสิ้นชีวิตนี่ไปเกิดเป็นเลน

สิ่งที่เกิดเป็นเลนกับในจีวรนั้น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา เป็นศาสดาที่หูตาสว่างมาก เห็นว่าพระองค์นี้ไปเกิดเป็นเลน สั่งพระไว้ เพราะธรรมวินัย “พระถ้าเสียชีวิตในพระนี่บริขาร ๘ เราสามารถบังสุกุลออกมาใช้ได้” สิ่งที่สมบัติของพระตกอยู่กับพระตามธรรมวินัย ทีนี้พระองค์นั้นตายไป พระก็ต้องทำตามวินัย คือจะแจกผ้าผืนนั้นกันต่อไปเพื่อให้พระใช้ประโยชน์ต่อไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ผ้าผืนนั้นอย่าเพิ่งไปแตะ เพราะว่าเลนตัวนั้นไปเกิดในผ้านั้น ถ้าเราไปแตะจะเกิดความผูกโกรธ” เห็นไหม สัตว์มันก็รักของมัน เวลาไปเกิดด้วยความผูกพัน ด้วยกรรม นี่กรรมมันมหัศจรรย์ขนาดนั้นน่ะ ไปเกิดเป็นเลนก็ยึดว่าจีวรผืนนั้นเป็นของเรา อยู่ในจีวรนั้นน่ะ

ถ้าเราไปจับ เราไปทำตามธรรมวินัย ความถูกต้องไง ในเมื่อทำถูกต้องตามธรรมวินัย เพราะสิ่งนี้พระตายไปแล้ว สิทธิขาดไปแล้ว แล้วสิ่งนี้ก็ต้องเป็นของพระสิ เป็นของพระพระก็แบ่งกัน ผู้ที่อุปัฏฐาก ผู้ที่ขาดแคลน นี่ธรรมวินัยให้แจกคนนั้นก่อน ถ้าเราทำตามความถูกต้อง ถูกต้อง ธรรมวินัยถูกต้องหมดเลย เพราะว่าเราแบ่งกันด้วยความถูกต้องตามธรรมและวินัย ตามกฎนะ คือวินัย ตามธรรม คือความถูกต้องด้วย ศีลธรรมจริยธรรมถูกต้องหมดเลย

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ควรแจกกัน ให้ไว้อย่างนั้นก่อน จนครบ ๗ วัน เลนตัวนั้นอยู่ด้วยความสุข อยู่ด้วยความยึดว่าเป็นของเรา ตายจากเลนนั้นไปเกิดบนสวรรค์นะ นี่จิตมันเวียนไปอย่างนั้นไง

แล้วเราเกิดตายๆ มาในโลกนี้ ดูสิ ความเป็นไปของโลก ดูแค่วิจัยเรื่องการเกิดและการตายทางธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกนะ เราแค่ศึกษาอย่างนี้เรายังสลดสังเวชกับชีวิตเลย แล้วชีวิตของเรานี่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุขเพราะว่าการสะสมมา

ผู้มีบุญมาเกิด เห็นไหม แม้แต่ผู้ปกครองเป็นสมัยกษัตริย์กู้บ้านกู้เมืองมาเพื่ออะไร? เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ถวายนะ เวลาพระเจ้าตากกู้ชาติมา “แผ่นนี้ถวายพระพุทธบูชา” คือบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ศาสนามั่นคงไป ๕,๐๐๐ ปี นี่ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเป็นชาวพุทธ นี่บุญกุศลอย่างนี้เป็นผู้ที่มีบุญมาเกิด มีบุญมาเกิดก็สร้างสมสิ่งนี้ขึ้นมา วางรากฐานให้เข้มแข็งขึ้นมาระหว่าง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะอะไร

เพราะผู้ที่กู้ชาตินี้ล่มสลายมาจากกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยานี่การปกครองถึงคราวหนึ่ง มีการสะสมมาของสังคมของการแตกแยก สิ่งที่การแตกแยก แล้วนักวิจัยเขาวิจัยกันอยู่ว่า ในบัดนี้การที่ข้าศึกเข้ามาทำลายกรุงศรีอยุธยาไม่ใช่เสียเพราะว่าเรารบสู้เขาไม่ได้ มันเสียเพราะการปกครองที่ไม่เป็นการปกครองแล้ว ปกครองกันไม่ได้แล้ว มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากภายใน

สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าตากกับสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเห็นสภาวะแบบนี้ เพราะเห็นสภาวะแบบนี้ เวลากู้ชาติขึ้นมาแล้วถึงจะวางไง วางชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มันมั่นคงแข็งแรง แล้วมั่นคงแข็งแรงนี่สืบต่อกันมา ถ้าไม่ได้วางตรงนี้มา ถ้าการปกครองออกมาจากส่งต่อมามันก็เป็นความอ่อนแอมาตลอด

เห็นไหม เวลาเกิดนี่เกิดยุคไหน ยุคที่มีความมั่นคงแข็งแรง ยุคที่มีผู้มีบุญมาเกิด ผู้มีบุญมาเกิดก็วางสังคมวางรากฐานมาให้ชาติ ศาสนา มันเป็นความสืบต่อมาด้วยความมั่นคงแข็งแรงโดยศีลธรรมจริยธรรม เป็นการสมานให้สังคมนั้นมีความร่มเย็นเป็นสุขไง แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนา สิ่งที่สะสมมาแล้วต่อยอดกันมาเพื่อให้มีความมั่นคง แล้วมีผู้ประพฤติปฏิบัติ ผู้มีบุญมาเกิด

ถ้าไม่มีบุญมาเกิดนะ สมบัติของโลก ใครก็ตื่นกับสมบัติของโลก ใครก็อยากได้สมบัติของโลก วัดกันด้วยมูลค่าได้ วัดกันที่การที่จะมาแข่งขันกัน เพื่ออะไร? เพื่อจะแสดงตนว่าฉันเป็นผู้มีบุญไง มีบุญแบบหยาบๆ นั้นนะ

ครูบาอาจารย์ของเราเกิดชายป่าชายทุ่ง เกิดชายป่าชายทุ่งเพราะอะไร เพราะบุญสร้างสมมา ผู้มีบุญมาเกิด เกิดมาเพื่ออะไร? เกิดมาเพื่อต้องการธรรมธรรมในหัวใจ สิ่งที่ธรรมในหัวใจ “ธรรมาธิปไตย” ธรรมอันนี้มันจะเข้าไปชำระอธิปไตยโดยกิเลสไง

ถ้าอธิปไตยโดยกิเลส เรื่องของความสงบร่มเย็นในหัวใจ สิ่งที่เรื่องของความสงบกับเรื่องของปัญญามันคนละขั้นตอนกัน แต่ถ้าเมื่อครูบาอาจารย์บอกว่าแยกออกจากกันไม่ได้ ความสงบกับปัญญาแยกกันไม่ได้...นี้มันเป็นมุมมอง เป็นจริตเป็นนิสัย

สิ่งที่เป็นจริตนิสัยถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เห็นไหม เป็นโลกียปัญญา...ใช่ มันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ มันจะเป็นไป มันจะเป็นการส่งต่อกันมา มันใช้การค้นคว้าขึ้นมาแบบมหายาน สิ่งที่เป็นเซน มหายานใช้ปัญญาๆ เขาว่าไม่ใช้สมาธิเลย

มันก็มีสมาธิในขณะกระทำนั้นเหมือนกัน ขณะที่กระทำเราใช้ปัญญาใคร่ครวญขนาดไหน มันก็จะปล่อยมา ปล่อยมาเหมือนกัน ปล่อยมาสิ่งสภาวะแบบนั้นมันก็เป็นความสงบ สิ่งที่เป็นความสงบ มันก็ว่าง ความสงบคือความสุข ความสงบร่มเย็นของใจเพื่อไปหาอธิปไตยของจิต ถ้าไปหาอธิปไตยของจิต งานจะเกิดตรงนี้ไง

ดูการที่เราตั้งบริษัทสิ เราตั้งบริษัท เราต้องจดทะเบียนใช่ไหม เราจดทะเบียนเพื่อให้บริษัทในสัญชาติใด สัญชาตินั้น เราอยู่ในสัญชาตินั้น ในสังคมนั้นเขามีกติกาอย่างไร สิ่งนี้เป็นเรื่องของการจดทะเบียนนะ สิ่งที่เราศึกษาเราค้นคว้าด้วยปัญญาของเรา ถ้าเรายังไม่ได้มีที่ตั้ง ฐานที่ตั้งยังไม่ได้เป็นของเรา ขณะที่เราใช้ปัญญาทั้งหมดนี้ เราเกิดมาในเมืองไทย เราเกิดในศาสนานี้ เราบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมานี้ เราเป็นชาวพุทธ สิ่งที่ความคิดของเรา เราคิดอยู่ใต้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อธิปไตยของเราไหม? อธิปไตยนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพุทธศาสนา

พุทธศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ในเมื่อเราเอง เราตั้งตัวของเราเองขึ้นมาไม่ได้ ในเมื่อเรายืนตัวเองไม่ได้ เราหาอธิปไตยของเราไม่เจอ เราไม่ใช่เป็นความสันโดษ เป็นความประเทศชาติของเรา เป็นที่จุดยืนของเรา ในปัญญาอย่างนั้น มันเป็นปัญญาถึงซึ่งกระบวนการของมัน ก็คือหาอธิปไตยของตัวเองเจอ คือความสงบอยู่นั่นเอง

ขณะที่ใช้ปัญญาขนาดไหนมันจะสงบเข้ามาในหัวใจ สิ่งที่สงบ ใช้ปัญญา ขณะที่ความสงบ ถ้าเรากำหนดพุทโธเลย สิ่งที่พุทโธ พุทโธๆ นี่ต้องการ...ผู้มีบุญเกิดชายป่าชายทุ่ง ชายทุ่งชายป่าเพราะแบบนี้ เพราะเกิดในประเทศอันสมควร เพราะสร้างสมบุญญาธิการมามหาศาล สิ่งที่สร้างสมบุญญาธิการมหาศาลจะไปเกิดในสิ่งที่ว่าไม่พลาดจากชาตินี้ไง

เพราะเกิดในชายป่าชายทุ่ง เกิดมาแล้วนี่ความสมดุลของโลก ความเป็นไปของสังคมจะทำให้ได้ออกประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าไม่ได้ออกไปในการประพฤติปฏิบัติเพื่อจะค้นคว้าหาธรรมในหัวใจดวงนี้ ถ้าพบหาธรรมในใจดวงนี้เห็นอธิปไตยของตัวเองก่อน ถ้าเห็นอธิปไตยนี่มันเป็นอวิชชา

สิ่งที่เป็นอวิชชานะ ถ้าไม่ครูไม่มีอาจารย์ มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์นะ

ดูสิ ดูอย่างนักวิทยาศาสตร์ ดูผู้ที่มีปัญญา เขาทำวิจัย ทำโครงการต่างๆ ขึ้นมา ถ้าวิจัยแล้วประสบความสำเร็จ เช่น การค้นคว้าหายารักษาโรค การต่างๆ นี่สามารถช่วยเหลือโลกได้นะ สมัยก่อน สมัยโบราณ วัณโรค โรคอหิวาต์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก โรคห่าลงทีหนึ่งบ้านเมืองร้างเลย ต้องยกหนีนะ แล้วผู้ที่ค้นคว้าหายาป้องกันได้ รักษาได้ นี่มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเลย จากเมื่อโบราณนะ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ขนาดบ้านเมืองล่มสลายได้จากเรื่องของโรคอย่างนี้นะ แต่ในปัจจุบันนี้ สิ่งนี้รักษาได้ เป็นของเล็กน้อย นี่สังคมคนละยุคมองต่างกันมหาศาลเลย นี้เพราะอะไร เพราะว่าเราเกิดในสังคมไง เกิดในโลกในประเทศชาติที่เจริญ แล้วผู้ที่วิเคราะห์วิจัยยานั้น ผู้ที่ทำประโยชน์กับสังคม เขามีประโยชน์ไหม นี้คือปัญญาจากภายนอก

แม้แต่ปัญญาที่เขาคิดค้นวิจัยขึ้นมานี่มันยังเป็นประโยชน์กับสังคมเลย แล้วความคิดของเรา ทางวิชาการของเรา เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นปัญญาๆ...นี่เรามองกันได้ ผู้ที่มีอำนาจวาสนามันถึงจะมีปัญญาอันละเอียดไง

สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เราก็ว่าเป็นปัญญานี่ เรามีปัญญามาก เรามีเชาวน์ปัญญา เชาวน์ปัญญาก็ยังตั้งอยู่บนอะไร? อธิปไตยที่มั่นคง อธิปไตยมั่นคงคือเราสร้างสมบุญญาธิการมา สิ่งนี้ จิตนี้มันมั่นคงแข็งแรง สิ่งใดๆ จะมาสั่นคลอนความรู้สึกของเรา ใครจะมาหลอกหลวงเรา ใครจะมาทำลายเรา ใครจะมาโต้แย้งกับเราสิ่งต่างๆ นี่ เราจะมีความโต้แย้งอย่างนั้นได้

ในเมื่อปัญญาเกิดบนอธิปไตยที่มั่นคง เขาเป็นคนที่ไม่โดนกระแสชักนำไป แต่คนที่เกิดในอธิปไตยที่อ่อนแอ ปัญญามันจะตั้งอยู่บนอะไรอีกนะ ตั้งอยู่บนจิตอันใด จิตประเภทใด จิตนี้มาจากไหน? จิตนี้คือการกระทำของกรรม การกระทำที่มันสะสมบุญญาธิการเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ถึงเป็นพละไง

พละ ๕ คือสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยะต่างๆ อินทรีย์แก่กล้า ความเป็นอินทรีย์ ความเป็นภวาสวะ ความรับรู้การกระทำของจิตที่สะสมกลับเข้ามา นี่มันจะทวนกระแสเข้ามา คือการค้นคว้าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สิ่งนั้นมันจะมีชื่อในประวัติศาสตร์ ในประวัติศาสตร์จะจารึกว่าผู้ที่ค้นคว้าจะจารึกอย่างนี้ จะได้รางวัล จะได้การชื่นชมจากสังคม เห็นไหม โลกภายนอก อธิปไตยภายนอกจะมีสถิติจดจารึกกันมา

แต่โลกภายใน ธรรมภายใน ธรรมสิ่งที่ละเอียดกว่า นี่ถึงบอกว่าบุญญาธิการอยู่ตรงนี้ไง อยู่ตรงที่ว่าผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่เห็นประโยชน์อันละเอียด ผู้ที่เห็นความเป็นไปของจิต นี่ครูบาอาจารย์ผู้มีบุญจะมีสภาวะแบบนี้ จะมีความฉุกใจ ความสนเท่ห์ ความคิดแยกแยะ ความละเอียดย้อนกลับมาในหัวใจ

ถึงว่าใช้ปัญญาขนาดไหน สิ่งต่างๆ สิ่งนี้ผลของมันคือการทำความสงบของใจ

ถ้าเรากำหนดพุทโธ เรามีความเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีศรัทธา มีความเชื่อ เราจะตั้งสติของเรา แล้วเรากำหนดพุทโธ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เพราะครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมา

ดูสิ ดูทางโลกเขามีการโต้แย้งกัน เกิดลัทธิต่างๆ ที่ระหว่างโลกตะวันออกกับตะวันตกที่มีการโต้แย้งกัน การเข่นฆ่า การทำลายกัน เขาทำลายอะไรล่ะ? เขาทำลายชีวิตได้ เขาทำลายสิ่งที่เป็นร่างกายได้ เขาทำลายชีวิตได้ แต่เขาไม่สามารถฆ่าความคิดได้

ขณะที่เขามีความโต้แย้งกันระหว่างตะวันออกกับตะวันตก เขาโต้แย้งกันขนาดนั้น เขาทำลายกัน เขาฆ่ากัน ล้างเผ่าพันธุ์กัน จะทำลายขนาดไหนก็แล้วแต่ สิ่งนั้นมันฆ่าได้แต่เรื่องของร่างกาย ฆ่าได้แต่ชีวิต แล้วฆ่าหนึ่งเกิดร้อย ฆ่าหนึ่งเกิดแสน ฆ่าหนึ่งเกิดพันเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันมีสายสัมพันธ์กันมา สายบุญสายกรรมทำกันมา เขาจะมีความผูกเจ็บ เขาจะมีความคิดของเขาเข้าไป เขาจะมีการโต้แย้งของเขา

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ผู้มีบุญของเราเกิดขึ้นมาแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จนจิตนี้ทำลายอวิชชาออกไปจากหัวใจ เห็นไหม การเกิดและการตายเป็นของหลอกกันนะ การเกิดและการตายมันเป็นสภาวะแบบนี้ วัฏฏะเป็นอย่างนี้ กรรมของวัฏฏะ เราเกิดมานี่มันเป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของกรรมเราถึงเกิดมาเจอกัน เราเกิดมาถึงเป็นสายบุญสายกรรมกัน เราเกิดมาพบกัน

สิ่งที่พบกัน แล้วสิ่งที่ว่าถูกใจและไม่ถูกใจ สิ่งที่มีบุญมีกรรมต่อกัน การแสวงหากัน การเชื่อฟังกัน มันจะฟังแล้วรื่นหูมากเลย แต่ถ้าเป็นสิ่งที่มีบาปอกุศล มีการกระทำกันมานี่จะขัดไปหมดเลย แล้วไม่ยอมรับ

ทฤษฎีในการประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ว่าครูบาอาจารย์เวลาเทศนาว่าการมา นี่ช่องทางไง ช่องทางการจะเข้า ช่องทางการจะย้อนกลับมาในกิเลสของเรา สิ่งสภาวะแบบนี้มันมีสายบุญสายกรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้ที่เริ่มต้นวางรากฐาน ตั้งแต่ปัญจวัคคีย์ ตั้งแต่พระยสะ นี่สงฆ์ ๖๑ องค์เป็นผู้ที่พ้นจากบ่วงของมาร พ้นจากบ่วงของโลกและจากบ่วงที่เป็นทิพย์ เห็นไหม พ้นทั้งหมดเลย ใจนี้ไม่มี

ในหัวใจ เวลาพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ในวันมาฆบูชา เวลาสโมสรสันนิบาตกัน ไม่ต้องการสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งต่างๆ แม้แต่ความคิด แม้แต่ความเป็นไป เพราะมันเสมอภาคกันไง สิ่งที่เสมอภาคเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันพ้นออกไป อธิปไตยตัวนี้โดนทำลายแล้ว อธิปไตยนี้เป็นความสะอาดผุดผ่อง นี่การเกิดและการตายไม่มี นี่สิ้นสุดกระบวนการของชีวิตนี้

เพราะถ้ากิเลสตายจากการประพฤติปฏิบัติ เวลากิเลสตายแล้ว กิเลสอย่างหยาบมันก็ติด มีความโต้แย้ง มีความขัดแย้งในใจ ความคิด ความคิดต่างๆ ที่ว่าเราจะหาอธิปไตยของเราเจอนี่ ขณะที่ทำความสงบนี่มันยังเหาะเหินเดินฟ้าได้ มันยังพ้นจากแรงดึงดูดของโลกได้ นี่หลุดออกไปจากโลก เหาะขึ้นมาบนอากาศได้

นี่ก็เหมือนกัน ขณะที่เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันปล่อยวางเป็นสมถะ มันก็พ้นออกไป แต่มันเป็นอธิปไตยมัน เป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ แล้วปัญญาใคร่ครวญเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนทำสภาวะสิ่งนี้ออกหมด

การฆ่ากันของทางลัทธิ เขาฆ่าแต่ร่างกายเพื่อจะทำลายกัน เพื่อจะกดฝ่ายหนึ่ง สิ่งที่ฆ่าขนาดไหนมันยิ่งเกิดศรัทธา เกิดความผูกเจ็บ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราทำลายกิเลสอวิชชาออกไปจากหัวใจ การฆ่าอย่างนี้ไม่มี การโต้แย้งอย่างนี้ไม่มี เพราะอะไร เพราะใจอันนี้มันปล่อยวางตั้งแต่กิเลสขาดไง

ถ้าเราวิปัสสนา อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาขาดจากหัวใจออกไปแล้ว หัวใจไม่มีสิ่งใดเป็นความโต้แย้ง ความโต้แย้งในสมถะ ความโต้แย้งที่มันบาลานซ์อย่างนั้นมันเป็นสมาธิ แล้วในสมาธิมันก็มีสัมมา มีมิจฉา ความมิจฉา ถ้าเป็นมิจฉามันจะไม่เข้ากับองค์มรรคเลย เพราะมันเป็นมิจฉา มันเป็นความผูกพัน เป็นความติดขัด เป็นความติดข้อง มันติดว่าสิ่งนี้เป็นนิพพาน สิ่งนี้เป็นความสุข สิ่งนี้เป็นความสูงสุดของการประพฤติปฏิบัติ เพราะมันเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นผล

ถ้าสิ่งนี้เป็นผล เพราะจิตมันสงบเท่านั้น มีความร่มเย็นเป็นสุขเท่านั้น พอความร่มเย็นเป็นสุขนี่ เพราะเขาไม่มีอำนาจวาสนาเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เข้าสมาบัติขนาดไหน สิ่งต่างๆ นี้มันแค่หินทับหญ้าไว้ หินทับหญ้านะ ถ้าเราไม่ได้ค้น ไม่ได้เปิดหินขึ้นมา แล้วเราใช้ปัญญาของเรารื้อค้นรากหญ้า รื้อค้นพืชพันธุ์ของหญ้านั้น ทำลายอันนี้ออกไปให้หมด สิ่งนี้ต่างหากถึงเป็นวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลองผิดลองถูกมากับเจ้าลัทธิต่างๆ ทั้งหมดแล้ว แล้วย้อนกลับมา

ถ้ามันทำลาย อาสวักขยญาณเห็นไหม สิ่งนี้พ้นออกไปจากวัฏฏะ ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่นี่ ทั้งที่เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน นี่มันทำลายอวิชชาออกไปจากหัวใจแล้ว สิ่งนี้พ้นออกไปทั้งหมด ถ้าพ้นออกไปทั้งหมด ไม่มีสิ่งโต้แย้งในหัวใจไง คือสิ่งที่มันเป็นสิ่งที่ความสืบต่อ สิ่งที่เป็นความผูกพันกันกับใจตัวนี้ไม่มี

สิ่งที่ไม่มี การเกิดและการตายจะฆ่าขนาดไหน ขนาดที่ว่าฆ่าในชีวิตนะ ก็ตัดฆ่าได้แต่สิ่งที่ว่าระหว่างรอยต่อของกระดูก นี่ทำให้ชีวิตนี้หมดสิ้นไป ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้คือสิ่งที่สืบพลังงานตัวนี้ไง พลังงานของตัวใจถ้าใจยังมีพลังงานอยู่ นี่ทำให้ชีวิตนี้สืบต่อ พลังงานนี้ตั้งอยู่บนไออุ่น ไออุ่นของกาลเวลา นี่ชีวิตนี้มีแค่นี้

สิ่งที่มีแค่นี้ แต่ตัวจิตที่มันพ้นออกไปจากขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เป็นความคิด ความปรุง ความแต่ง สิ่งนี้มหัศจรรย์มาก จะตายหรือไม่ตายมีคุณค่าเท่ากัน แม้แต่มีลมหายใจอยู่นี่ก็ปล่อยวางหมด จิตนี้พ้นออกไป จะทำลายสิ่งต่างๆ ไม่ได้ ขณะตายไปมันไม่มีอะไรตาย เพราะมันตั้งแต่กิเลสตาย สิ่งนี้มันปล่อยหมดแล้ว มันเป็นสภาวะของมัน อยู่ในปัจจุบันนี้ก็นิพพาน พ้นออก ชีวิตนี้ดับไปก็นิพพาน นิพพานคงที่ตั้งแต่เมื่อกิเลสขาด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่โคนต้นโพธิ์นั้น ขณะที่อวิชชาขาดไปจากใจนั้น นี่จิตขณะนั้น กับจิตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปตั้งแต่โคนต้นสาละ เหมือนกัน อันเดียวกัน แต่อยู่ในสถานะต่างกันเพราะเศษส่วนยังมีอยู่เท่านั้นเอง เห็นไหม นี่การทำลายอย่างนี้ การทำลายคือธรรมาธิปไตย ชำระกิเลสในหัวใจนี้สำคัญมาก สำคัญเพราะเราเจอธรรมและวินัย

เราเกิดมาพบพุทธศาสนา ศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจากผู้มีบุญกุศล นี่มีบุญกุศล แต่บุญกุศลอยู่ที่ไหน? บุญกุศลเกิดขึ้นจากสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าผู้ที่มีเชาวน์ปัญญาอย่างนี้จะเกิดในสังคมอันสมดุล เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราเกิดขึ้นมา สังคมมันจะมีเรื่องข้าวยากหมากแพง สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลวงปู่มั่นอยู่ที่หนองผือ สิ่งต่างๆ เรื่องยารักษาโรค เรื่องผ้าจีวรต่างๆ จะขาดแคลน แต่ขาดแคลนอย่างนี้มันเป็นที่ว่าขณะที่มีผู้มีบุญมาเกิด ความสมดุลอย่างนี้มันยังมีการขาดแคลน เพราะขาดแคลนจากภายนอก ถ้าหัวใจเราสมดุล หัวใจเรามีการประพฤติปฏิบัติ การขาดแคลนนี้มันเป็นการทดสอบจิตเรานะ

เราเกิดมาทุกคนต้องมีอาชีพ ทุกคนต้องมีสถานะทางสังคม ทุกคนต้องการความมั่นคงของชีวิต เราก็พยายามแสวงหากัน แล้วมันมั่นคงจริงไหม เวลาลดค่าเงินบาทหนหนึ่ง เวลาเป็นไปของโลกหนหนึ่ง ทุกคนทุกข์ ทุกข์ตรอมใจตาย ทุกข์จนตรอมใจนะ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราจะฝากชีวิตหรือ

แต่ถ้าเวลาเรามีศรัทธาความเชื่อ ออกประพฤติปฏิบัติ เราเป็นภิกษุ เราเป็นพระ นี่สิ่งต่างๆ โลกนี้ นี่บริขาร ๘ สิ่งที่บริขาร ๘ ดำรงชีวิตได้แล้ว มีบาตร มีธมกรก อาหารและน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิต การหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างนี้เพราะเราไม่ต้องการสิ่งใดเลย เราจะอยู่โคนไม้ก็ได้ จะไม่มีบ้านเรือน เราอยู่ที่ไหนเราก็อยู่ได้ ความอยู่ได้ของเราเพราะอะไร เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อ

แต่โลกเขามองมุมกลับนะ เขามองมุมกลับว่าสิ่งนี้เป็นผู้ที่สิ้นไร้ไม้ตอก ทำไมไม่มีที่ยืนในสังคม ถึงได้ออกมา...นี้ต่างหาก นักรบเว้ย! นักรบจะรบกับกิเลสของตัวเอง หาอธิปไตยของตัวให้เจอ ถ้าหาอธิปไตยของตัวให้เจอ ทำความสงบเข้ามาให้ได้ ถ้าทำความสงบเข้ามาให้ได้ ดูสิ ดูนักบวชสมัยก่อนพุทธกาล ขณะเขาหาอธิปไตย-v’เขาเจอ เขายังว่านี่เป็นผล นี่เป็นนิพพานเลย นั่นเพราะอะไร เพราะความไม่มีครูบาอาจารย์ของเขา

ในปัจจุบันนี้เรามีครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเราหาอธิปไตยของเราเจอ เห็นไหม ไม่ต้องไปแข่งขันกับเขา นี่อธิปไตย สิ่งที่เป็นอธิปไตยทุกคนก็ยึดเสรีภาพ ทุกคนเป็นของเราๆ เราเป็นเจ้าของประเทศ เราเป็นเจ้าของสังคมนี้ เราต้องมีอธิปไตยสังคมนี้ เราเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของเรา เราจะต้องมีส่วนของของเขา นั้นเป็นสิ่งที่เป็นสมมุติขึ้นมา เป็นการปกครอง เป็นโลกของศีลธรรมจริยธรรม ศีลธรรมจริยธรรมของโลกเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเราเกิดในสังคมอย่างนี้มันถึงเป็นผู้มีบุญ ผู้มีบุญต้องมีบุญเข้าไปถึงจากภายใน ถ้ามีบุญเข้าถึงจากภายใน มันถึงมีศรัทธา ถึงออกบวชเป็นภิกษุ ออกบวชเป็นนักรบ รบกับใคร? รบกับตัวเองนี่

สิ่งที่เป็นความฟุ้งซ่าน สงครามโลกเกิดในหัวใจนี่ เวลามันทุกข์มันร้อนขึ้นมา มันเหยียบย่ำหัวใจ เราตั้งสติของเราขึ้นมา ตั้งสติถ้ามีศรัทธาก็กำหนดพุทโธๆ นี่ขออาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ตื่น เห็นไหม ตื่นจากกิเลสแล้วแต่เรายังไม่ตื่นก็ขอพุทธจริต พุทธวิสัย ขอที่พึ่ง ถ้าที่พึ่งเรากำหนด พุทโธๆ แล้วมีศรัทธาความเชื่อ เราจะกำหนดพุทโธๆ ของเราไป มันจะสงบเข้ามาได้

โลกนี้มันมีมืดก็มีสว่าง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้มันคู่กับเป็นไปได้ สิ่งที่ไม่มี นักวิทยาศาสตร์ที่เขาค้นคว้า ที่เขาทำประสบความสำเร็จของเขาขึ้นมา เขาบอกว่า สิ่งที่ทำไม่ได้นี่มันมีโอกาสของมัน มันต้องค้นคว้าของมันได้ เขามีนักวิทยาศาสตร์มหาศาลเลย แต่ผู้ที่วิจัยแล้วมีผลงานไว้ในโลกมีกี่คน

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรามีความเชื่อมั่นของเราว่า สิ่งที่จิตที่มันฟุ้งซ่านได้มันต้องสงบได้ เราพยายามตั้งสติของเราขึ้นมา ถ้ามันมีสติขึ้นมา การมีสติขึ้นมามันเป็นสัมมา สัมมาตั้งแต่เกิดสติ เกิดกติกากับตัวเราเอง ถ้าไม่มีสติ เหมือนกับคนเร่ร่อน คนที่ไม่มีสติเหมือนกับคนที่ไม่มีกติกากับตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามกระแสของความคิด

ถ้ามีสติขึ้นมานี่ความคิดมันก็ไหลไป ดูสิ ลมพัดไปในโลกนี้มันต้องแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ฤดูกาลมันก็หมุนไปเป็นเรื่องหน้าที่ของเขา มันเปลี่ยนแปลงตลอด อนิจจังตลอด ความคิดก็อนิจจังตลอด มันเป็นไป มันต้องหมุนไปอยู่แล้ว แต่ถ้ามีสติขึ้นมานี่มันจะหมุนขนาดไหน มันจะเป็นขนาดไหน เพราะเรามีสติไป ควบคุมไป มันก็จะเป็นสัมมา สัมมาเพราะมีสติมันเป็นความเพียรชอบ แต่ถ้าขาดสติขึ้นไปมันสักแต่ว่า

ดูสิ ดูแม่น้ำ น้ำท่วมนะ เวลาฝนตกหนักน้ำท่วมทำลายบ้านเรือนเลย มันก็เป็นน้ำ มันก็เป็นสิ่งที่เราต้องการเพื่อทำกสิกรรม แต่มันมากเกินไป มันทำให้ทำการกสิกรรมก็เสียหาย ทำให้บ้านเรือนก็เสียหาย ถึงกับทำลายชีวิตเลย ชีวิตคนเวลาเกิดอุทกภัยขึ้นมาถึงกับมีคนเสียชีวิตก็มหาศาลเลย นี่พอมันรุนแรงมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น

ขณะที่จิตมันฟุ้งซ่าน จิตที่มันเป็นไป มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น เราก็ตั้งสติไว้ๆ นี่มันรุนแรงมาล้มลุกคลุกคลานก็เป็นเรื่องของกรรมของเรา ถ้าเราควบคุมได้ ทุกอย่างมีความเป็นไป ฝนตกตกต้องตามฤดูกาล การทำเกษตรสมบูรณ์ สิ่งต่างๆ สมบูรณ์ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าขณะที่จิตมันดี สมาธิมันดี สติมันสมบูรณ์ขึ้นมา เราทำขึ้นมา มันก็จะสมประกอบของเขา มันก็จะมีความสงบของเขาขึ้นมา นี่สิ่งนี้เป็นการยืนยัน ยืนยันกับจิตของเรานี่ สิ่งที่จิตของเราขึ้นมามันก็เป็นสภาวะของเราขึ้นมา เห็นไหม นี่อธิปไตย เพราะเราควบคุมเราเอง เราค้นคว้าของเราเอง

สิ่งการกระบวนการกันอย่างนี้มันเป็นสิ่งกระบวนการของความสงบ สิ่งที่ความสงบขึ้นมามันต้องมีปัญญา สิ่งที่เป็นปัญญา ปัญญาที่ว่า เรา ความละเอียดของผู้มีบุญนี่ไง ปัญญามันจะค้นคว้าเข้ามานะ สิ่งที่เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นสิ่งที่สุดยอด สุดยอดเพราะอะไร เพราะเชื้อโรคอยู่ที่นี่ เราเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราตรวจร่างกายเราทุกปีเลย พยายามตรวจร่างกาย ร่างกายเราผิดปกติเราจะได้แก้ไขทัน เราตรวจร่างกายเราเพื่อความปกติของจิตของร่างกายเรา เราจะได้มีชีวิตสืบต่อไป อันนี้เป็นการตรวจโรคในประจำปีนะ

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าเราค้นคว้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็คิดของเราไป แสวงหาของเราไป แต่เรายังไม่เห็นว่าเราควรเป็นอย่างไรไง โรค ร่างกายเป็นรวงรังของโรค คนเราเกิดมาไม่เจ็บไข้ได้ป่วยนี่เป็นลาภอันประเสริฐ สิ่งที่เป็นลาภอันประเสริฐ เพราะร่างกายมันมีเชื้อของมันอยู่แล้ว มันมีสิ่งต่างๆ ถ้ามีกรรมนะ สิ่งที่เกิดขึ้นมาเราไม่วิตกวิจารณ์เลย ถ้าเรามีบุญกุศลนะ จะเกิดโรคอะไรขึ้นมาเราก็รักษาหายได้ทั้งนั้นล่ะ โรคสิ่งที่รักษาหายได้ โรคบางโรคไม่ต้องไปหาหมอ เราทำของเราก็ได้ โรคบางโรคต้องไปหาหมอ เพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นโรคที่ว่ารุนแรงที่ไม่มียาที่จะรักษา

แต่ถ้าเป็นธรรมโอสถล่ะ ธรรมโอสถครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่าในเขานะ สิ่งที่โรคจะขนาดไหน นี่เอาตายเข้าว่าเลย เพราะอะไร เพราะเราประพฤติปฏิบัติ เราอยากได้ผลมาก เราอยากได้ธรรม ธรรมาธิปไตย เราอยากให้อธิปไตยของเราเป็นธรรม ถ้าให้อธิปไตยของเราเป็นธรรม แล้วเวลาประพฤติปฏิบัตินี่ปัญญาไม่เกิดๆ ฝ่ายของปัญญา ฝ่ายของความสงบ ระหว่างสงบเราต้องทำความสงบของจิตเราขึ้นมาให้ได้

ถ้าทำความสงบของจิตเราขึ้นมาได้ เราหาอธิปไตยของเราได้ บริษัทเราได้จดทะเบียนแล้ว เรามีประเทศของเรา เรามีที่หมายของเรา เรามีที่ตั้งของเรา เรามีภวาสวะของเรา เพราะกิเลสมันอยู่ที่นี่ ถ้าเราค้นหากิเลสของเราเจอ เราค้นหาที่ซ่อนของกิเลสเจอ เราจะเป็นฝ่ายของการใช้ปัญญาใคร่ครวญมัน

ถ้าปัญญาใคร่ครวญมัน เวลาโรคเกิดมาในการประพฤติปฏิบัติ เวลาปกติร่างกายสมบูรณ์ โรคนี้ไม่มี มันอยู่ที่ไหน คราวนี้มันมา เหมือนกับการนั่งสมาธิเลย เวลาเวทนามันเกิด เวทนามาจากไหน เวลาอยู่สุขสบายเวทนาไม่เห็นมีเลย เวลาเรานั่งอยู่เพลิดเพลิน แม้แต่การนั่งเล่นมันไม่เห็นมีอะไร นั่งแค่ ๕ นาทีนี่เวทนามาแล้ว เพราะอะไร

มันเป็นเรื่องของจิต จิตที่วิตกกังวล จิตนี่ไปดึงเขามา บางทีเรานั่งอยู่นั่งเป็นชั่วโมงไม่เห็น เวทนาเกิดเพราะอะไร เพราะสติเราดี อะไรเราดี แต่ถ้ามันเผลอหรือว่าสิ่งที่มันสมดุลขึ้นมา มันจะเกิดขึ้นมาทันทีเลย นี้ก็เหมือนกัน โรคในร่างกายนี่ถ้ามันเกิดขึ้นมา ถ้าเรามีธรรมโอสถ ธรรมโอสถค้นคว้าได้ เราแยกแยะได้ สิ่งที่จะแยกแยะ สิ่งที่จะค้นคว้า ค้นคว้าเพื่ออะไร เพราะการค้นคว้านี่มันก็เป็นขั้นของปัญญาใช่ไหม ถ้าเราว่านี่ขั้นของปัญญา

แต่ถ้าเป็นทางโลกนะ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องไปหาหมอสิ ถ้าไปหาหมอนี่เพื่อความถูกต้อง เห็นไหม นี่หยาบ โลกเขาหยาบๆ อย่างนั้นเองว่า เราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องไปหาหมอ เพราะหมอเขาไว้รักษาคนป่วย เราป่วยเราก็ไปหาหมอก็จบ แล้วไปหาหมอก็ไปนอนร้องโอดโอยกับหมอนะ เจ็บ นี่ก็ไม่สบาย นั่นก็จะเป็นอย่างนั้น หัวใจไม่สู้เลย หัวใจอ่อนแอมาก

แล้วดูสิอธิปไตย กับผู้ที่อาศัยอยู่บนประเทศนั้น เห็นไหม อธิปไตยของเราอ่อนแอ แล้วสิ่งที่อาศัยอยู่บนประเทศนั้นก็คือความคิดไง ความคิดอาศัยอยู่บนภวาสวะ อยู่บนภพ เขาก็เหยียบย่ำกันไป ทำลายกันไป ไปหาหมอหมอก็เป็นภาระนะ คนไข้เป็นผู้ที่หัวใจอ่อนแอ หัวใจไม่สู้กับโลก เจ็บเล็กเจ็บน้อยไม่ให้ความร่วมมือกับหมอ หมอบอกว่าต้องควรจะทำอย่างนี้ สิ่งนี้เป็นของแสลงไม่ควรจะกิน ควรจะรักษาตัวเองให้ดีเพื่อจะให้โรคภัยไข้เจ็บมันได้หายไป เราก็อยากเป็นอย่างนี้...นี่ไม่ให้ความร่วมมือกับเขาเพราะอะไร เพราะหัวใจมันอ่อนแอ

แต่ผู้ที่จิตใจเข้มแข็ง เขาบอกสิ่งนี้มันเป็นเหตุนะ แล้วถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นอย่างนี้ เราจะละ เราจะไม่เอาของแสลงเข้าไปในร่างกายของเราเพื่อไปเพิ่มโรค ถ้าเราให้ความร่วมมือกับเขา เรามีจิตใจเข้มแข็ง การรักษานั้นก็ง่าย เห็นไหม เราก็ไม่เจ็บทั้งกายและใจ

นี้ก็เหมือนกัน เราออกประพฤติปฏิบัติ ในการต่อสู้กับกิเลส ขณะที่มันเกิดเวทนา เวทนานี่ก็เป็นโรคอันหนึ่ง เจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นโรคอันหนึ่ง โรคทั้งนั้น แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะของเรา นี่มันเกิดมาจากไหน มันตั้งอยู่ได้อย่างไร มันจะย่อยสลาย มันสิ่งต่างๆ เป็นอนิจจังทั้งหมดล่ะ เวลาเกิด เกิดจากโรคมาจากไหน มันตั้งอยู่ ขณะที่มันตั้งอยู่ มันให้ความเจ็บไข้ได้ป่วยกับเรา ขณะที่เราวิปัสสนาไปสิ่งนั้นก็ต้องหายไป เห็นไหม เราไม่ได้รักษาของมัน ถ้าถึงที่สุดเราต้องตายจากโลกนั้น มันก็ต้องตายไป ตายแล้วมีอะไร? ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย นี่มันสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่มันจะดับตรงไหนเท่านั้นเอง

ถ้าเราใช้ปัญญาของเรา ใคร่ครวญของมันออกไป ถ้ามันแยกแยะได้ เห็นไหม ว่างหมดนะ โลกนี้ว่าง ความว่าง สว่างไสว ออกจากสมาธิมาโรคภัยไข้เจ็บหายหมด สิ่งนี้ยังทำกันได้ สิ่งนี้ยังเป็นการผ่านมาของครูบาอาจารย์ของเรา นี่ธรรมโอสถ สิ่งที่ธรรมโอสถ

ในการวิปัสสนาก็เหมือนกัน ในเมื่อสิ่งที่มันเป็นความเจ็บไข้ได้ป่วย มันสิ่งที่เห็น กาย เวทนา จิต ธรรม นี่คือการแยกแยะ การแยกแยะเพื่อจะให้อวิชชา อวิชชาคือความหลงผิด ความหลงผิดของจิตใต้สำนึกนี่มันยึดว่าสิ่งใดเป็นเรา เพราะมีตัณหาความทะยานอยากในใจแล้วนี่ สิ่งนี้มันจะเป็นสิ่งที่มันอยู่ใต้ความคิด อยู่เหนือความคิดเรา ความคิดนี่เกิดดับจากอธิปไตยนี้ แต่สิ่งนี้มันอยู่ในอธิปไตยนั้น เพราะมันเป็นอวิชชา มันเป็นสิ่งที่นอนเนื่องมากับใจ

ใจดวงนี้เกิดตายๆ ไม่เคยทำลายตัวมันเอง แต่สะสมแต่บุญกุศล กับสะสมบาปอกุศล เกิดสะสมบาปอกุศล เกิดมาก็เกิดทุกข์เกิดยาก เกิดสะสมบุญกุศลขึ้นมาก็เกิดดี แล้วจิตทุกดวงไม่เคยมีทำดีตลอดทำชั่วตลอด มันต้องมียุคหนึ่งคราวหนึ่งที่ว่าเราเกิดมาในสังคมนั้นก็ดี เกิดกับผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มได้เป็นผู้ที่มีบุญก็ชักนำกันทำในสิ่งที่ดี สิ่งนี้มันก็สร้างบุญกุศลขึ้นมา

เห็นไหม ดูสิ ดูในพระไตรปิฎก ดูเทวดาที่เกิดบนสวรรค์ เคยทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสงสว่างมหาศาลเลย แม้แต่พระอินทร์ยังด้อยกว่า เห็นไหม นี่การกระทำของจิตเรา การกระทำในภพชาติต่างๆ นี่ เราจะรู้ว่าชาติใดภพใดที่เราเคยทำคุณงามความดีมา แต่ในปัจจุบันนี้สัมผัสได้ รู้ได้เพราะอะไร

เพราะถ้าเราไม่มีความคิดอย่างนี้ เราไม่มีศรัทธาความเชื่ออย่างนี้ เราจะไม่มีโอกาสมานั่งมาสนใจการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้หรอก ถ้าเราสนใจการประพฤติปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้โลกเขามองไม่เห็นกัน เหมือนกับสิ่งที่ว่าเขาเห็นแต่วัตถุภายนอก เราเห็นแต่วัตถุภายใน วัตถุภายในคือความสัมผัสของจิต จิตสัมผัสกับสิ่งใด ถ้าจิตสัมผัสกับสิ่งใดมันมีความสุข ความทุกข์ นี่ย้อนกลับมา มันก็เห็นอธิปไตยได้ไง มันเห็นที่ตั้งของกิเลสได้

ถ้าเห็นเห็นที่ตั้งของกิเลสได้น้อมไปใน กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าน้อมไปในกาย สภาวะเห็นของกาย ถ้าวิปัสสนากายโดยปัญญาวิมุตติ พิจารณากายโดยการเทียบเคียง โดยการเทียบเคียงคือโดยการใช้ปัญญา การใช้ปัญญาขึ้นไป ถ้ามันมีอธิปไตยแล้ว มันมีที่ตั้งแล้ว เห็นไหม ที่ตั้งของบริษัท ถ้าเราจดทะเบียนแล้วผลกำไรขาดทุนของบริษัทนั้น ถึงปีเราต้องไปเสียภาษี เราต้องมีผลกำไรขาดทุน เราต้องมีภาษี เราต้องมีบัญชีไป เราต้องส่งบัญชีใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน การถ้ามันมีอธิปไตย มันมีสถานที่ตั้ง ขณะที่วิปัสสนาไปผลมันจะย้อนกลับมาที่จิตตรงนี้เพราะมันรู้ว่าสิ่งนี้ มันจะปล่อยวางเข้ามา จากความเห็นผิด จากความยึดมั่นถือมั่น ถ้าปัญญามันใคร่ครวญแล้วมันจะปล่อยบางไปๆ มันจะจางออกไปเรื่อยๆ มันก็เป็นผลงาน เป็นกำไรของบริษัทนั้น เป็นกำไรของอธิปไตยนั้น

อธิปไตยนั้นได้การใคร่ครวญอย่างนี้ ปัญญาจะเกิดอย่างนี้ เกิดจากไหน? เกิดจากปัญญา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ เกิดจากมรรคญาณ มรรคญาณเกิดจากไหน? มรรคญาณเกิดจากการทำสัมมาสมาธิขึ้นมา ทำความสงบของใจขึ้นมา แล้วใช้ปัญญาของเราขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นสัมมาทั้งหมด แต่เป็นมิจฉาล่ะ ถ้าเป็นมิจฉาปัญญาก็เป็นปัญญามิจฉา การปล่อยวางแบบมิจฉา ปล่อยวางแบบมิจฉามันปล่อยวางไม่มีสติ ปล่อยวางโดยบุญกุศล ปล่อยวางโดยส้มหล่น ปล่อยวางโดยการกระทำเกิดกับบุญกุศลของเราเคยสะสมมา

สิ่งนี้มันเหมือนกับการทุจริตของบริษัทไง มันไม่ลงบัญชี พอไม่ลงบัญชี เรากำไรมาเราก็ทุจริต เราก็ไม่ลงบัญชีไว้ กำไรนี้เอาออกนอกบริษัท นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นมิจฉามันเป็นอย่างนั้นไง เป็นมิจฉามันไม่สะสมลงที่จิต มันจะไปแก้ความเห็นผิดอันนั้นไม่ได้ การเห็นผิด ผิด ใจที่มีความเห็นผิด ถ้าเราใช้ปัญญาเข้าไป ความเห็นผิดเพราะเห็นผิดมันถึงเป็นอวิชชาไง

แต่ถ้าเป็นวิชชา ความเห็นถูกต้อง บัญชีถูกต้อง การกำไรถูกต้อง ปัญญาถูกต้อง ความถูกต้องต่างๆ มันก็เป็นสัมมา สัมมามันก็เป็นงานชอบ มันก็เป็นความเพียรชอบ เห็นไหม มรรคมาจากไหน มรรคมาจากไหน? มรรคมาจากการกระทำของเรานี่แหละ มรรคเกิดจากการกระทำ มรรคเกิดจากผู้ที่มีบุญ ใจที่มีบุญ ใจที่มีกุศล ใจนี้ถึงมีพละ ใจนี้มันถึงมีกำลัง ใจนี้ถึงไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว จะไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย

จะเชื่อสันทิฏฐิโก จะเชื่อปัจจัตตัง จะเชื่อการกระทำของจิต จะเชื่อการสัมผัสของใจ ภาวนามยปัญญาเกิดอย่างนี้ไง ปัญญาภาวนาอย่างละเอียดมันจะเกิดอย่างนี้จากหัวใจ จะเห็นความเป็นไปของมรรคญาณ เห็นไหม ดูสิ ดูภาวนามยปัญญาสิ ภาวนามยปัญญาเกิดจากภายใน มันไม่ใช่ปัญญาจากสมอง ปัญญาจากสติ ปัญญาจากการศึกษา ปัญญาจากการเล่าเรียนหรอก ปัญญาอย่างนั้นเป็นการส่งเสริมขึ้นมาเท่านั้น ปัญญาอย่างนั้นเป็นการพยายามจะจดบริษัทให้ได้ จะตั้งบริษัทขึ้นมาให้ได้ จะวางโครงการขึ้นมาเพื่อให้เราทำบริษัทขึ้นมา เพื่อจะหาอธิปไตยของเราขึ้นมาไง

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาหาความสงบของเราขึ้นมา แต่ถ้าปัญญาของการออกทำธุรกิจ ปัญญาของการที่เราทำให้บริษัทของเราเข้มแข็งขึ้นมา นี่บริษัทขนาดไหน ตั้งโรงงานขนาดไหน ใหญ่โตมหาศาลขนาดไหน เวลาเราผลิตสิ้นค้าออกมาแล้วขายไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว โรงงานนั้นเจ๊ง

นี่ก็เหมือนกัน เราทำความสงบมาขนาดไหน เราทำสมาบัติขนาดไหน จะเหาะเหินเดินฟ้าขนาดไหน เราจะเหาะได้ เราจะรู้อดีตชาติ จะรู้สิ่งต่างๆ ขนาดไหน ถ้าไม่เกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมา ไม่เกิดปัญญาภาวนามยปัญญาขึ้นมา โรงงานนั้นต้องล่มสลายแน่นอน เพราะมันไม่มีสิ่งการตรวจสอบ ไม่มีการทำลายต่างๆ ไม่มีการทำระบบบัญชีเลย

แต่สิ่งนั้นมันอยู่ที่อำนาจวาสนานะ โรงงานจะเล็ก โรงงานจะใหญ่ อยู่ที่บุญญาธิการ ดูสิการทำความสงบของใจ ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนากำหนด พุทโธๆ จิตสงบเข้ามานี่เกิดนิมิต เกิดภาพ เห็นเทวดา เห็นอินทร์ เห็นพรหม ความเห็นอันนั้นเพราะมันเป็นสิ่งที่จิตดวงนี้ได้สร้างสมบุญญาธิการมา บางจิตบางดวงใจกำหนดพุทโธๆ เข้าไปจิตสงบเฉยๆ สงบเข้าไป ว่างๆ เข้าไป

แล้วถ้ามีสติขึ้นมา มันสงบเข้าไป มันก็เป็นตั้งแต่ขณิกสมาธิ...จะเห็นนิมิต ถ้าไม่เห็นมันก็เป็นอัปปนาสักแต่ว่ารู้ไง ขณะที่เป็นสมาธิขึ้นไปสติจะพร้อมเข้าไปตลอด เห็นไหม สักแต่ว่ารู้มันดับตั้งแต่อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น นี่จะไม่ได้สิ่งใดๆ เลย แม้แต่เสียงดังขนาดไหนมันก็ไม่ได้ยิน มันเป็นสักแต่ว่ารู้ มันเป็นอัปปนาสมาธิ นี่มันจะทำความสงบของใจเข้ามา

โรงงานจะเล็กโรงงานจะใหญ่มันอยู่ตรงนี้ไง อยู่ตรงฐานของจิต อยู่ที่ความสร้างพลังงานขึ้นมา เคยสร้างสมบุญญาธิการมา กำลังแก่กล้า กำลังแก่กล้าหมายถึงจิตเข้มแข็ง จิตอ่อนแอ จิตเข้มแข็ง จิตบางคนมันอยู่ที่การสร้างมา มันถึงมีพุทธจริต มีโทสจริต โมหจริต เห็นไหม ความเป็นจริต จริตของจิต แล้วสิ่งที่ตรงข้ามกับจริตหมายถึงว่า สิ่งที่ทำความโต้แย้ง สิ่งที่ทำความขัดเกลาไง

ถ้าเป็นโทสจริตต้องมาฝึกฝนด้วยการแผ่เมตตา ต้องฝึกฝนไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ว่าเราเป็นโทสจริต เป็นคนขี้โกรธ แล้วพอโกรธใครก็จะระงับความโกรธ สิ่งนั้นเวลาไฟลุกไหม้ เวลาเกิดไฟไหม้ในเมืองนะ ไฟไหม้ป่าจนป่านี้ลุกโชติช่วงแล้วเราจะเอาน้ำไปสาดให้มันดับ มันเป็นไปได้ไหม แต่ถ้าเราจะไม่ให้ไฟนั้นเกิดขึ้นมาเราจะทำอย่างไร? เราต้องป้องกันใช่ไหม เราต้องทำแนวกันไฟ เราต้องการสิ่งที่เวลาไฟเกิดขึ้นมา สิ่งที่จะดับไฟจะเป็นสภาวะแบบใด

นี่ก็เหมือนกัน เราฝึกแผ่เมตตา สรรพสิ่งในโลกนี้เกิดมาก็โดยกรรม เกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม เขาก็มีปากมีท้อง เขาก็ต้องดิ้นรนของเขา เขาต้องหากินของเขา เราก็เกิดมามีปากมีท้อง เราก็ดิ้นรนของเรา เห็นไหม นี่ความเสมอภาค นี่ไงอธิปไตย

อธิปไตยจากภายนอกเราพยายามฝึกความเสมอภาค ฝึกความเมตตา ฝึกความสิ่งต่างๆ ขึ้นมาจากหัวใจ มันก็เหมือนกับเราป้องกันแนวกันไฟ ป้องกันสิ่งต่างๆ เวลาไฟมันเกิดขึ้นมามันจะเกิดเพราะมันเป็นจริตมันเป็นนิสัย มันจะเกิด เกิดแน่นอน เพราะอะไร

เพราะสิ่งนี้มันเกิดมาจากกิเลสของเรา แล้วเราไม่มีกิเลสหรือ ถ้าคนไม่มีกิเลส เราจะเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร เกิดเป็นมนุษย์แล้วมันมีจริตอย่างนี้ มันต้องเกิดแน่นอน แต่เกิดแน่นอนมันก็มีแรงต่อต้าน มันก็มีแนวกันไฟ มันก็มีแหล่งน้ำที่เวลาไฟขึ้นมา แหล่งน้ำนั้นก็จะมาดับไฟ นี่โทสจริตมันก็จะเบาลง

สิ่งที่เบาลง การประพฤติปฏิบัตินี่มันเป็นสันทิฏฐิโก มันจะประสบกับใจดวงไหน ใจดวงไหน อธิปไตยไหน สิ่งต่างๆ นะ สิ่งที่อธิปไตยไหนมันเป็นจริตไหน มันเจอสภาวะแบบนี้ มันจะเข้าใจๆ ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีความเห็นอย่างนี้ มันจะไปชำระกิเลสได้อย่างไร สิ่งที่เป็นกิเลสของเรามันก็อยู่นอนเนื่องมาจากใจ แล้วความคิดเกิดมาจากไหน? ความคิดก็เกิดมาจากใจ แต่ไอ้กิเลสมันอยู่บนหลังความคิดนี้ มันก็ใช้สิ่งนี้ออกไปให้เหยียบย่ำเราไง

นี่ไง หาอธิปไตยของตัว หาความเป็นไปของตัว มรรคญาณเกิดอย่างนี้ ถ้ามรรคญาณเกิดอย่างนี้ ปัญญาจะเกิดอย่างนี้ มันจะย้อนกลับเข้ามาในหัวใจของเรา ย้อนกลับเข้ามาชำระไง เป็นธรรมาธิปไตยนะ ธรรมาธิปไตยเพราะอะไร เพราะเป็นธรรม เป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาเกิดอย่างนี้ เกิดจากการประพฤติปฏิบัติเกิดจากผู้มีบุญกุศล มีบุญนะ มีบุญ เห็นไหม

ดูสิดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาบิณฑบาตไป ในไตรปิฎกไปเจอทุคตเข็ญใจ นี่ยิ้มกับพระอานนท์นะ พระอานนท์บอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มจะต้องมีสิ่งใดแน่นอนเลย เวลาตอนกลับมาแล้วถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“ยิ้มเพราะอะไร”

เห็นทุคตะเข็ญใจ ๒ คนนั้นไหม ทุคตะเข็ญใจ ๒ คนนี่แต่เดิมเขาเป็นเศรษฐี แต่เขาเล่นการพนันของเขา จนเขาโดนโกงจนหมดเนื้อหมดตัว เห็นไหม ในปัจจุบันนี้เราผ่านไป ถ้าขณะที่เขายังเป็นเศรษฐีอยู่ ถ้าได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามี แต่ในปัจจุบันนี้เขาโดนโกง แล้วหัวใจของเขามันทุกข์มันยาก นี่หัวใจไม่ควรแก่การงานไง มันเศร้าหมอง

เขาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน แล้วเป็นทุคตะเข็ญใจอยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่ได้อะไรเลย แต่ขณะที่เขาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่จิตใจเขาเป็นเศรษฐีอยู่ เขามีความรื่นเริงอาจหาญอย่างนั้นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เขาจะได้เป็นพระอนาคามีน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน นี่ผู้ที่มีบุญ มีคุณอย่างนี้ไง มีบุญคือว่า มันมีโอกาส มันมีการประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วเรามีบุญไหม? มีบุญสิ ถ้าไม่มีบุญ ดูสิ หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ต้องตายนะ ชีวิตนี้มันน่ากลัวมาก น่ากลัว เวลาว่าเป็นเรื่องของธรรม มนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เกิดเป็นมนุษย์นี่สุดยอดประเสริฐมาก มีสมอง มีความคิด นี่เรื่องของโลกๆ นะ สมองทางโลกมันเป็นโลกียปัญญา

แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญามันปัญญาเกิดจากใจ มันไม่ใช่เรื่องของโลกหรอก มันคนละเรื่อง โลกกับธรรมมันคนละอันกัน อยู่ในมนุษย์คนเดียวกันนี้ อยู่ในจิตดวงเดียวกันนี้ แต่มันเป็นคนละสิ่งกันนี้ ถ้าผู้ที่มีปัญญาเข้ามามันถึงจะย้อนกลับมาไง

มนุษย์เหมือนกัน มนุสสติรัจฉาโน เพราะความชั่วร้ายของเขา เขาเบียดเบียนคนอื่นเป็นมนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต เขาเป็นเปรต เขาทำลายคนอื่น เห็นไหม มนุสสเทโว เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทำไมเขาเป็นเทวดา เขามีความร่มเย็นเป็นสุขให้คนอื่น นี่มนุษย์เหมือนกัน จิตใจต่างกัน ความคิดต่างกัน ความเบียดเบียนต่างกัน ความเอารัดเอาเปรียบก็ต่างกัน

แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเป็นมนุษย์ไหม แล้วเรามีความสนใจไหม

มนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เกิดมาเป็นอริยทรัพย์เพราะเป็นโอกาส แล้วการประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่มันจะเป็นโอกาสซ้อนกลับมาอีกชั้นหนึ่ง แล้วปัญญาของเราเกิดอย่างนี้เราถึงต้องว่าเรามีจริต เรามีนิสัย เรามีอำนาจวาสนา เราจะหาสมบัติอันละเอียดไง

งานอย่างนี้เป็นงานทุกข์ยากมากนะ การแบกหาม การทำงานทางโลกเขามันเป็นการเลี้ยงชีวิต เราก็ยังต้องเห็นโอกาส เกิดมาเจอสังคมที่ดี ทำงานเจอเจ้านายที่ดี ทำงานต่างๆ สิ่งที่ดีเราก็มีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเราไปเจอเจ้านายเป็นพาล ทุกข์มากเลย นี่ทำอะไรก็เป็นความผิดพลาดหมด ทำสิ่งใดก็เบียดเบียนหมด เห็นไหม บุญกุศลจากการกระทำภายนอกยังมีเลย แม้แต่ทำงานจากภายนอกมันยังมีโอกาส ยังมีสิ่งต่างๆ ที่มันตอบสนองกัน

ในการประพฤติปฏิบัติ นี่กิเลสกับธรรม วิชชากับอวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชาในหัวใจนี่มันโต้แย้งกันมาตลอดนะ แล้วสิ่งที่เคยใจ อวิชชานี่เคยใจ มันเคยมาแต่ชาติไหน สิ่งนี้มันเป็นจริตนิสัย ถ้าเป็นคนโทสจริตก็ชอบโกรธ โกธรแล้วก็ยังสะใจนะ ได้โกรธ ฉันเป็นคนเป็นผู้มีอิทธิพล ฉันเป็นคนที่มีอำนาจ ฉันเป็นคนที่ทุกคนต้องมาสยบต่อฉัน...นี่ขณะที่มันทำความชั่วมันยังอหังการเลย แล้วถ้าทำคุณงามความดีล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์เดชขนาดไหน พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์เดชขนาดไหน แต่ไม่ใช้ฤทธิ์เดชกับสามัญชนต่างๆ จากบริษัท ๔ จะใช้ต่อเมื่อมันเป็นสิ่งที่ว่าจะได้ผล อย่างเช่น ทรมาน ไปทรมานลัทธิต่างๆ ใช้สิ่งที่เป็นฤทธิ์นี้มี แต่สิ่งนี้เขาไม่ใช้พร่ำเพื่อ เพราะมันเป็นเรื่องของ...ถ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนอวดอุตตริมนุสสธรรม มันเป็นธรรมเหนือมนุษย์ไง

สิ่งที่เป็นธรรมเหนือมนุษย์ ถ้าทำสภาวะแบบนั้น สังคมไหน ถ้าเป็นสังคมที่ใช้ปัญญา สังคมไหนที่ว่าสิ่งที่เป็นความเสมอภาค สิ่งที่เป็นไปนี่ ความเคารพกันด้วยปัญญา ความเคารพกันด้วยใจ ถ้าความเคารพกันด้วยใจมันจะเชื่อฟังกัน สิ่งที่เชื่อฟังกัน สิ่งนั้นมันจะทำให้สิ่งนี้อยู่ได้ยืนยาว แต่ถ้าใช้อิทธิพล สิ่งที่เป็นฤทธิ์เดชเข้าไปสั่งสอนกัน มันเป็นชั่วอายุคนมันก็หมดไป เพราะอะไร เพราะผู้ที่ทำได้อย่างนั้นมีกี่องค์ล่ะ

เห็นไหม ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากเรา ถ้ามันปัญญาเกิดขึ้นมา เราจะมีอำนาจวาสนา ถ้ามีอำนาจวาสนามันก็มีความมั่นคง นี่งานอันละเอียดนะ งานการประพฤติปฏิบัติ แล้วกิเลสกับธรรมในหัวใจจะโต้แย้งกันตลอด ถ้าเราตรงกับจริตเรา เราก็วิปัสสนาของเราไป

กายนี้เกิดมามีโอกาสมาก เกิดมานี่ก็มีร่างกายแล้วก็ติดเพราะร่างกายนี้ ความคิดออกมาจากอธิปไตยนั้น เวลาความคิดออกมานี่ออกมาจากไหน เวลาการกระทำออกมาจากไหน? ออกมาจากเรา โลกนี้มีเพราะมีเรา ถ้าเราไม่มี โลกก็เป็นอย่างนี้ มันก็เหมือนกับไม่มี ทั้งๆ ที่มันมีนะ โลกนี่มี นี่สมมุตินี้มี วัฏฏะนี่มี แล้วก็มีเราด้วย เราก็เข้าไปวนในวัฏฏะนี้

ดูสิ ดูอย่างเช่นพระอรหันต์ ถ้าอยู่ในโลกนี้ นี่หัวใจท่านไม่มี แต่มี มีเพราะอะไร เพราะหัวใจท่านเป็นพระอรหันต์ไง พระอรหันต์คืออะไร? นิพพาน สงบเย็นมันไม่ออกมายุ่งกับโลกหรอก แต่อาศัยโลกนี้อยู่เพราะอะไร เพราะท่านยังมีชีวิตอยู่ไง ในเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านอาศัยโลกอยู่แล้วท่านยังสื่อสารสัมพันธ์ได้ เพราะท่านยังมี ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ท่านยังมีธาตุ ๔ อยู่ ท่านยังมีขันธ์ ๕ อยู่ ขันธ์ ๕ นี้มันเวลาสื่อความหมาย มันถึงว่าเป็นธรรมที่มีชีวิตไง มันไม่ใช่พระไตรปิฎก

สิ่งที่เป็นพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางพระธรรมวินัยไว้แต่ไม่มีชีวิตนะ แล้วเราจะต้องไปศึกษาเอง เราใช้อวิชชาของเราเข้าไปจับ แล้วมันก็ตีความผิดๆ อยู่อย่างนี้ แล้วเราปฏิบัติไม่ได้ผลไง แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ สิ่งนี้สื่อออกมาจากใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นธรรมาธิปไตย ไม่มีอวิชชา ไม่มีกิเลสในหัวใจเลย มันเป็นธรรมล้วนๆ แล้วจะสื่อสารกับเรา สื่อสารกับเราแล้วเราฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านสาวก สิ่งนี้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้นี่สื่อสารธรรมออกมา นี่ธรรมที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตนี่มันก็เป็นประโยชน์กับเรา

นี่ถึงว่า เราเกิดมาแล้วเรามีโอกาสสภาวะแบบนี้ อย่างนี้ไม่เป็นบุญแล้วมันเป็นอะไร ถ้ามันเป็นบุญมันก็มีกำลังใจของเราขึ้นมา เราพยายามใคร่ครวญกับใจของเรา อธิปไตยของเรา...อธิปไตยของโลกนะ นี่อธิปไตย มันเป็นประเทศ มันเป็นวัตถุ อธิปไตยของเรานี่มันมีชีวิต ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีชีวิต แล้วธรรมของครูบาอาจารย์เราที่เป็นธรรมาธิปไตย มันก็เป็นธรรมที่มีชีวิต ถ้าเราขัดแย้ง เราโต้แย้ง เรามีอวิชชา

อวิชชาไง เป็นฝ่ายมืดนะ เวลาธรรมมา ขัดหูขัดใจเรา ทำไมครูบาอาจารย์ท่านคอยติ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านคอยว่าอย่างนั้น สิ่งนั้นก็ผิด สิ่งนี้ก็ผิด...ผิดสิ เพราะการสื่อสารออกมาจากอธิปไตยที่มันเป็นอวิชชานี่มันขัดขวาง ตั้งแต่จิตความคิดอันนั้นน่ะมันก็ผิดแล้ว แล้วแสดงออกมาเป็นกิริยา สิ่งนี้มันหยาบมาก แต่เราขาดสติไง ทำอะไรก็หลุดไม้หลุดมือ ทำสิ่งใดก็ไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย

แล้วตัวเองก็แบกหนัก แบกของหนักเพราะอวิชชานี่มันเป็นพญามาร เป็นเจ้าวัฏจักร มันก็ครอบงำใจดวงนี้ไว้ แล้วมันก็แสดงออกเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเราก็เผลอ เราก็ไม่เข้าใจเลย แล้วครูบาอาจารย์นี่ช่วยนะ การชี้อริยทรัพย์ ความผิดอย่างนี้เพื่อเข้ามาให้จิตมันมีสติ แล้วมันก็จะยับยั้งของมันไป เพื่อให้พญามารมันได้เปิดผ่อนให้เราหายใจได้บ้าง เช่น เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตมันสงบ อธิปไตยของจิตนี่ มันขนาดที่ว่านักบวชก่อนสมัยพุทธกาลเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นนิพพานเลย มันถึงติดอย่างนี้ไง

ถ้าจิตเราสงบเข้ามาอย่างนี้ เวลามันปล่อยวาง แล้วเราปล่อยวางไม่ได้แล้วครูบาอาจารย์ของเรานี่ช่วยตบไม้ตบมือให้มันหดเข้ามา ให้จิตมันหดเข้ามา สิ่งนั้นเป็นการติไหม? สิ่งนี้เป็นคุณประโยชน์มหาศาล แต่กิเลสมันไม่พอใจ กิเลสของเรามันโต้แย้งไง มันอยากจะทำอะไรให้สมกับกิเลสมันทำ มันอยาก มันมีตัณหา แล้วทำอย่างนี้ แม้แต่ประพฤติปฏิบัติมันก็ประพฤติปฏิบัติโดยกิเลส เพราะกิเลสของเรามีโดยธรรมชาติ แล้วไม่ปฏิเสธนะ

ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี ทั้งๆ ที่สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ สะสมมาพร้อมเลยยังต้องไปพยายามค้นคว้าอยู่ ๖ ปี แล้วครูบาอาจารย์ของเรา เช่น หลวงปู่มั่นนี่ค้นคว้าออกทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทุกประเทศเลย ไปค้นหาครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ เห็นไหม ค้นคว้าเพราะอะไร เพราะพระไตรปิฎกก็มี ศึกษาแล้วก็งง นี่งงเพราะไม่เข้าใจ

ด้วยการศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมและวินัย แล้วก็มาประพฤติปฏิบัติทดสอบกัน ทดสอบกัน “อย่างนี้ใช่ไหม อย่างนี้ใช่ไหม ถ้าใช่ทำไมกิเลสมันทำไมไม่เบาบางลง ถ้ากิเลสมันเบาบางลง สิ่งนี้มันถึงจะเป็นการปฏิบัติเป็นสัมมาทิฏฐิ” นี่ค้นคว้าทดสอบๆ แล้วก็ออกไป วนไปตามรอบประเทศไทยข้างๆ รอบประเทศไทยเพื่อหาครูหาอาจารย์ไง

นี่ย้อนกลับมาๆ ครูบาอาจารย์ทุกข์ยากกันมาอย่างนั้น แล้วการประพฤติปฏิบัติ แล้วเราทำของเรา เราก็ว่าเราทำด้วยความเต็มใจ ด้วยความเต็มที่ของเราแล้ว...ความเต็มที่นี่ถูกต้อง แต่เต็มที่ของใคร เต็มที่อย่างนี้สติมันพร้อมไหม เหมือนนักกีฬา เราจะเล่นกีฬาสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าเรายังไม่เคยเล่นกีฬานั้นเลย กับผู้ที่เขาเล่นจนชำนาญแล้วมันต่างกัน

พอเล่นต่างกัน พอเราเริ่มต้นนี่เทคนิคของเราต่างๆ มันจะมีความผิดพลาด แล้วจังหวะ คือการก้าวออกไปของการเล่นของกีฬานั้น เราจะต้องหาประสบการณ์ของเรา นี่ก้าวอย่างนี้ มั่นคงอย่างนี้ ก้าวอย่างนี้จะพลาดอย่างนี้ สิ่งนี้เราจะต้องฝึกหมดเลย เป็นประสบการณ์ เห็นไหม การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเรามีประสบการณ์อย่างนี้ เหมือนนักกีฬา โค้ชเขาเคย เขาจะโค้ช เขาเคยเห็นสภาวะแบบนี้มา แล้วนักกีฬาคนไหนมาหัดใหม่จะเป็นอย่างนั้นหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน จิตของเรา เราศรัทธาแล้วมีความเชื่อแล้วออกประพฤติปฏิบัติใหม่ก็เป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าตรงจริตตรงนิสัย ครูบาอาจารย์ท่านคอยบอกคอยแนะวิธี มันก็จะยอมรับ สิ่งที่ยอมรับนะ แล้วย้อนกลับ เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์นะ เวลาท่านเทศนาว่าการ ท่านพูดประจำว่า ถ้าประพฤติปฏิบัติไปวันหนึ่งจะต้องเข้าไปถึงจุดที่ท่านบอกไว้ แล้วจะซึ้งใจท่านมาก แต่ในปัจจุบันนี้มันเหมือนมืด ขาวกับดำเลย มันตรงข้ามๆ “เอ๊ะ! ทำไมเป็นอย่างนั้นๆ” นี่กิเลสมันร้ายอย่างนั้นน่ะ ร้ายมาก มันขัดแย้ง ถ้าเป็นกิเลสหยาบๆ นะ มันจะปิดกั้นอย่างนี้เลย

แต่ถ้ามีการวิปัสสนาไปมันปล่อยวางๆ จนถึงที่สุดมันขาดนะ ถ้าสิ่งที่ขาด อะไรขาดไป? สังโยชน์ขาดไป แต่สิ่งต่างๆ มันเป็นปกติ ร่างกายกับจิตใจนี่เป็นอันเดิมนี่แหละ แต่ขณะที่สังโยชน์ขาดออกไป จิตนี้ออกไปเป็นธรรมาธิปไตย ธรรมาธิปไตยเพราะอะไร เพราะสังโยชน์ที่มันร้อยรัดไว้มันเป็นอวิชชา

สิ่งที่เป็นกิเลสธิปไตยนี่มันอยู่ในหัวใจตลอดไป อธิปไตยเวลาจิตสงบเข้าไป มันจะสงบเข้าไปเหมือนกับพระเทวทัต เหมือนกับพวกฤๅษีชีไพร เหาะเหินเดินฟ้านี่มันเป็นกิเลสธิปไตย ถึงจะเจอธิปไตยก็เป็นกิเลสล้วนๆอยู่ใต้พญามาร

แต่ถ้าปัญญารื้อค้นแยกแยะๆๆ ไปนี่ เวลามันปล่อยวางขนาดไหน เราก็ทำต่อเนื่องไปด้วยการอยู่กับครูบาอาจารย์ ให้ครูบาอาจารย์คอยประคองไว้ เพื่อจะไม่ให้เราออกนอกหลู่นอกทางไง ปล่อยหนหนึ่งทำหนหนึ่งแล้วก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ เดี๋ยวมันก็เสื่อมหมดเพราะมันอยู่ในใต้ของกฎอนิจจัง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมทั้งหลายนี้เป็นอนัตตาทั้งหมด เกิดดับๆ ทั้งหมด

เว้นไว้แต่อกุปปธรรม เว้นไว้แต่สิ่งที่มรรคญาณมันสมดุล มันขณะที่ทำสมุจเฉทปหาน จิตนี้ขาดออกไป นี่กิเลส สังโยชน์ขาดออกไป กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกจากกัน สิ่งที่แยกออกจากกัน สิ่งนี้เป็นอกุปปะที่จะกลับไปเป็นอีกอย่างเดิมไม่ได้ สิ่งที่จะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีกไม่ได้ สิ่งนี้เป็นธรรมาธิปไตยจากใจส่วนหนึ่ง แต่กิเลสอย่างละเอียดมันยังมีอยู่ในหัวใจนะ

ถ้าเป็นอย่างนี้ ขณะจิตที่พลิก ขณะจิตที่มันเปลี่ยนไป จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชนขนาดไหน กัลยาณปุถุชนมันยังเสื่อมได้ ศรัทธา อจลศรัทธา ศรัทธาเรานี่คลอนแคลนไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไป นี่อารมณ์ชั่ววูบ ความคิดไปนี่เป็นศรัทธา แต่เป็นอจลศรัทธาตั้งแต่กัลยาณปุถุชน เพราะอะไร

เพราะมันเห็นรูป รส กลิ่นเสียง กัลยาณปุถุชนทำความสงบของใจบ่อยๆ ครั้งเข้า บ่อยๆ ครั้งเข้า ความบ่อยครั้งเข้ามีความชำนาญ เหมือนนักกีฬาที่ฝึกฝนจนมีความชำนาญ จับสิ่งกีฬาที่เล่นกีฬาสิ่งใด จับส่วนประกอบนั้นจะจับได้ จะทำได้ทันที ขณะที่ว่าหลับตาลืมตาจะทำได้คล่องแคล่วมาก เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ความเห็น รูป รส กลิ่น เสียง บ่วงของมาร เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้ของมารกับจิตนี้ จิตนี้อาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องสืบต่อ

รูป รส กลิ่น เสียง เท่ากับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สิ่งนี้สืบต่อกัน แล้วขณะใช้ความสงบบ่อยครั้งเข้า เห็นความปล่อยวาง เห็นความขาดไป สิ่งที่ปล่อยวางจนรูป รส กลิ่น เสียง ขาดออกไปจากใจ นี่กัลยาณปุถุชน นี้เป็นอจลศรัทธา พอเป็นอจลศรัทธานี่ควบคุมจิตได้ง่ายขึ้น สิ่งที่ง่ายขึ้นมันก็เข้าไปวิปัสสนาได้เป็นโสดาปัตติมรรค ถ้าโสดาปัตติมรรคใช้ปัญญาบ่อยครั้งเข้าเป็นโสดาปัตติผล เห็นไหม นี่ขณะจิตมันเป็นไปสภาวะแบบนั้น

แต่ผู้ปฏิบัติเหมือนนักกีฬา นักกีฬาเราเล่นในสนามนี่เราไม่รู้หรอกว่าเรามีความผิดพลาดอย่างไร แต่ถ้าเราถ่ายวีดีโอไว้แล้วเรามาดูทีหลัง เราจะรู้ว่าเราผิดพลาดอย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ถ้าขณะที่เราใช้ปัญญาอยู่ เราใคร่ครวญอยู่ สิ่งนี้เราจะไม่เข้าใจ เราจะไม่เห็นความผิดพลาดเลย เราเล่นกีฬาขนาดนี้ ทำไมเรายังไม่ได้คะแนน ทำไมเรายังไม่ชนะ ทำไม...นี่ตัณหาซ้อนตัณหานะ ถ้ากิเลสซ้อนกิเลสนี่จะทำให้กิเลส...

นักกีฬาถ้ามีโค้ชมาช่วยกัน มาช่วยกันปรึกษา ช่วยกันคิด สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับนักกีฬาเพราะอะไร เพราะมันเป็นวัตถุ มันเป็นการแข่งขัน มันเป็นการผิดพลาดของคู่ต่อสู้ต่างๆ มันมีได้ แต่ถ้าเป็นกิเลสนะ สิ่งที่เคยใจ สิ่งที่แก่นกิเลส สิ่งที่เหนียวแน่นในกิเลสในหัวใจ สิ่งนี้ร้ายกาจมาก เพราะกิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลส ปัญญาเป็นเรา เราเป็นปัญญา สิ่งต่างๆ เป็นเราไปหมดเลย ถ้าเป็นเราทำอะไรไม่ได้เลย

แต่ถ้าเราปล่อยวางเป็นอธิปไตย เป็นความสงบขึ้นมา มันไม่เป็นเราอยู่ชั่วคราว ปัญญาเกิดขึ้นมาเป็นภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากหัวใจ อันนี้มันจะวิปัสสนาไปบ่อยครั้งเข้า มันปล่อยวางๆ จนถึงที่สุด ถึงที่สุดนี่มันต้องสมุจเฉทปหานขาดออกไป เห็นไหม ขณะจิตสำคัญมาก สำคัญเพราะมันเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงไปจากปุถุชนเป็นอริยบุคคลขึ้นมา อริยบุคคล เห็นไหม จิตที่เป็นอริยบุคคล

จิตที่เกิดตายเกิดตายตลอดไป นี่ในวัฏฏะที่เวียนไป ผลของวัฏฏะที่เราเกิดกันนี่เป็นผลของวัฏฏะ เราต้องสร้างบุญกุศลขึ้นมามันถึงได้มาประสบมาพบเห็นกัน สิ่งที่มาประสบพบเห็นมันก็มีบวกมีลบ บวก คือสิ่งที่มาพบเห็นกันแล้วจะสร้างสมบุญญาธิการกันไปเพื่อสร้างคุณงามความดี ลบ เกิดมาพบกันแล้วเกิดมามาทำลายกัน มาทำมาบาดหมางกัน สิ่งบาดหมาง

แต่ถ้ามันเป็นผลของวัฏฏะ ถ้าจิตนี้เป็นธรรมขึ้นมา อย่างพระอรหันต์ที่เป็นครูบาอาจารย์ของเรา ท่านจะไม่เห็นสิ่งนี้มากระทบกระเทือนใจได้หรอก ถ้ามันกระทบกระเทือนใจได้มันก็ไม่ใช่พระอรหันต์สิ ถ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมามันจะกระทบกระเทือนได้อย่างไร แต่ผลของวัฏฏะก็มี เห็นไหม ดูสิ ดูอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเจอพระเทวทัตเลย เจอญาติทำสงครามกันแย่งน้ำกัน ไปแบ่ง ไปห้ามญาติ นี่ผลของวัฏฏะเขามี

เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเข้าใจตามสภาพทั้งหมด บริษัทนี้ทำกำไรจนถึงที่สุด จนบริษัทนี้ไม่มีที่จะเก็บแล้ว บริษัทล้นเหลือ นี่สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของที่ว่าปล่อยวางทั้งหมด มันไม่ต้องสิ่งใด เห็นไหม นี่อธิปไตยนี้เหนือโลก สิ่งที่เหนือโลกเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากที่เราศรัทธาของเราขึ้นมา

ถ้าเป็นธรรมาธิปไตยมันจะเข้าใจถึงสิ่งเกิดขึ้นมาจากจิตไง สิ่งที่เป็นตัวจิต สิ่งที่อาการของจิต แต่เดิมในการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา นี่อธิปไตย โต้แย้ง เรียกร้องสิ่งต่างๆ เป็นความเสมอภาค ต้องมีความเสมอภาค ต้องมีภราดรภาพ ต้องมีความเสมอกันทั้งหมด เห็นไหม นี่เป็นการเรียกร้องทั้งหมดเลย

แต่ในการประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดในธรรมาธิปไตยนะ สิ่งนี้เข้ากันไม่ได้ ต่างอันต่างจริง ทั้งๆ ที่เป็นนามธรรมนะ กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งนี้เป็นอริยสัจ เป็นสติปัฏฐาน ๔ แล้วอริยสัจวิปัสสนาไป

กายเป็นกาย จิตเป็นจิต เวลามันแยกออกจากกัน ทุกข์มันแยกออกจากกัน สิ่งนี้มันเป็นจิตที่ว่าหมุนไปในวัฏฏะนี้ แต่ก็มีขอบเขตของมัน จนถึงที่สุดแล้วจิตนี้จะไม่หมุนในวัฏฏะนี้ วัฏฏะเป็นวัฏฏะไป จิตนี้แยกออกไปเป็นวิวัฏฏะ วิวัฏฏะพ้นออกไป เห็นไหม นี่ธรรมาธิปไตยสำคัญมาก ธรรมาธิปไตยเกิดจากที่เราเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเรา เราต้องเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้าเราไม่เชื่อมั่นเพราะอะไร

เพราะสิ่งที่ว่าเวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก ถ้าประพฤติปฏิบัติไปถึงที่นั่นเพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ของเรา “ต้องเป็นอย่างนั้น! ต้องเป็นอย่างนั้น!” ถ้าเป็นทางโลกนะ อย่างเช่นกีฬา มันมีวิวัฒนาการของมันไปนะ โค้ชสมัยก่อน โค้ชสมัยนี้ยังต่างกันเลย แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี แม้แต่ในภัทรกัป สมณโคดม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราตรัสรู้ธรรม พระศรีอริยเมยตรัยก็จะตรัสรู้ธรรมอย่างนี้ ธรรมอันนี้ อริยสัจอย่างนี้

อริยสัจไม่ใช่สัจจะโลกๆ นะ อริยสัจมันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอริยบุคคล อริยบุคคลทำให้จิตดวงนี้...แล้วอริยบุคคลอยู่ที่ไหน? มันอยู่ที่จิต ไม่ได้อยู่ที่ร่างกายหรอก ดูสิ ดูพระอรหันต์สมัยพุทธกาล เป็นค่อมก็มี เตี้ยก็มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อู้ฮู! บุรุษ ๓๒ ประการจะสวยงามมาก พระนันทะจะมีร่างกายสุดยอดเลย เพราะอะไร เพราะบุญกุศลต่างกัน แต่ความเสมอภาคเหมือน พระอรหันต์เหมือนกัน

สิ่งที่เหมือนกันเพราะว่าเรื่องของนามธรรม เรื่องของจิต นี่ธรรมาธิปไตยเสมอกัน ธรรมาธิปไตยแล้วสมบัติจากธรรม เราเกิดมาพบพุทธศาสนา ศาสนานี้สอนเข้ามาที่เรื่องของหัวใจ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วครูบาอาจารย์ของเราค้นคว้ามา ค้นคว้าโดยการประพฤติปฏิบัติมาจากใจดวงหนึ่งส่งต่อใจดวงหนึ่ง

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นค้นคว้ามาเพื่อเป็นผู้นำมา เป็นผู้มีบุญค้นคว้าขึ้นมา แล้วส่งต่อจากครูบาอาจารย์ของเราเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนนะ เพราะผู้รู้กับผู้รู้ถึงจะรู้กัน...ผู้ไม่รู้ไปพูดกับผู้รู้นี่มันน่าอาย เพราะเราเปิดออกไปเป็นสิ่งที่ไม่รู้ เป็นอวิชชาทั้งหมดเลย แล้วเราไปเปิดต่อไปด้วยความไม่รู้ไง

แต่ถ้าเป็นผู้รู้นะ สิ่งใด ดูสิ ดูอย่างที่ผู้ชำนาญการ เราทำงานสิ่งใด แค่เขาสบตาก็รู้เลยว่าอันนี้ผิดหรือถูก สิ่งที่เป็นธรรม ถูกต้อง เพราะอะไร เพราะมันถูกต้องก็คือถูกต้อง ถ้ามันเป็นความผิดพลาด แต่ผู้ที่ไม่รู้มันบอกความผิดพลาดนั้นเป็นความถูกต้อง สิ่งที่ความผิดพลาดทำความผิดพลาด ความเลวร้าย มันไม่เป็นความถูกต้อง...นี่สิ่งนี้มันเป็นกิเลส สิ่งที่เป็นกิเลส แต่กิเลสมันซ้อนกิเลสไง

กิเลสว่า “ถ้าเราจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เราพูดตามพระไตรปิฎก สิ่งนั้นต้องเป็นความถูกต้อง”...พ่นออกไปจากปาก ปากที่มีอวิชชา สิ่งที่อวิชชาพ่นออกไป นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงอยู่ จริงเพราะขณะที่ออกไปจากปากเท่านั้นเอง แต่ความที่เป็นอวิชชาในหัวใจ ความที่มักใหญ่ใฝ่สูง ความที่จะทำลายคนอื่นในหัวใจ

สิ่งที่ทำลายในหัวใจนั้นมันเป็นกิเลสทั้งนั้นน่ะ แต่ขณะที่ปากพ่นออกไปข้างนอกนี่มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันถึงเป็นอธิปไตยของศาสนาพุทธ มันเป็นอธิปไตยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนเรากู้หนี้ยืมสินมาทำธุรกิจของเรา เรากู้หนี้ยืมสินมา เรากู้มา เรายังต้องเสียดอกเบี้ยเลย นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธไง เราทำบุญกุศลมันก็เป็นบุญนะ ทำบุญคือบุญ ทำบาปคือบาป

แต่ขณะนี้กล่าวตู่ ตู่เอาๆ นี่มันเป็นบาป แม้แต่ภิกษุ เวลาตู่พุทธพจน์ ถ้าภิกษุสวด ๓ ครั้ง ถ้าไม่เปลี่ยนทิฏฐินะ เป็นอาบัติสังฆาทิเสส นี่วินัยก็บังคับไว้ เพราะอะไร เพราะไปกล่าวตู่ มันไม่เป็นความจริง

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ไม่ต้องกล่าวเขาก็จริง จริงเพราะอะไร จริงเพราะมันเป็นกิริยา ดูสิ น้ำอยู่ที่ไหนน้ำก็เป็นประโยชน์ต่อทุกสิ่งที่มีชีวิต ไฟ ไฟจะมีประโยชน์ต่อเมื่อเราใช้ประกอบอาหาร แต่ถ้ามันเผาบ้านเรือน ไฟมันก็เป็นโทษ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นความจริงในใจของครูบาอาจารย์ ขณะเคลื่อนไหวออกไปมันเป็นความจริง เพราะมันเป็นความร่มเย็นเป็นสุข

เพราะใจดวงนั้นไม่เย็น มันจะสงบได้อย่างไร ระงับได้อย่างไร ถ้าใจดวงนั้นระงับร่มเย็น แต่น้ำ ดูสิเวลามันเป็นมันมีมากมีน้อยมันก็เสียงดังเสียงเบาเป็นธรรมดา นี่คือจริตนิสัย ถ้าจริตนิสัย การเทียบเคียง น้ำก็คือน้ำ เวลาออกมาแล้วมันก็เป็นไป ธรรมก็คือธรรม สิ่งที่เป็นธรรมมันก็จะเข้ากันกับสิ่งที่เป็นธรรม มันถึงว่า ถ้าเป็นธรรมาธิปไตยมันเกิดได้จากจิตของเรา เพราะเราสิ่งที่มีชีวิต เห็นไหม ภาชนะที่จะใส่ธรรม

เวลาทางวิชาการ เดี๋ยวนี้เข้าคอมพิวเตอร์แล้วนะ เมื่อก่อนต้องพิมพ์เป็นหนังสือ ถ้าเป็นเอกสาร สิ่งนี้เป็นความถูกต้อง แต่ขณะที่เป็นธรรมาธิปไตย ธรรมาธิปไตยไม่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมนี่ภาชนะที่จะใส่มันได้คือความรู้สึกไง คือใจ ใจเท่านั้นจะเป็นภาชนะใส่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สิ่งต่างๆ ที่จดเป็นสถิตินั้นนั่นเป็นกิริยา คือเทคนิคเท่านั้น เป็นเทคนิคนะ แต่ผลของมันคือใจที่รับรู้ ไม่ใช่เทคนิควิธีการ มันเป็นทฤษฏี มันเป็นวิธีการที่จะเข้าไปหาความรู้สึกอันนั้น มันไม่ใช่ธรรมหรอก มันเป็นกิริยาของธรรม เป็นวิธีการของธรรม แต่เราไปติดที่วิธีการกัน แล้วก็ไปโต้แย้งที่วิธีการกัน แล้วก็จะทำลายกัน

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้วจะไม่โต้แย้งสิ่งใดๆ เลย เพราะสิ่งใดๆ ถ้ามันเป็นสัมมา มันเป็นความถูกต้อง มันจะเข้าไปหา มันจะทวนกระแส แล้วมันจะเข้าไปถึงตัวใจ แล้วตัวใจเป็นตัวสัมผัสนั้น ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปเป็นธรรมนี่มันจะ อ๋อ! อ๋อ! อ๋อ! ตลอดไป เพราะมันจะเข้าไปทำลายสิ่งที่เป็นความลังเลสงสัย เข้าไปทำสิ่งที่เป็นกิเลสในหัวใจ

ถ้ากิเลสในหัวใจขาดออก ขาดออก ขาดออก เห็นไหม นี่มรรค ๔ ผล ๔ โสดาบัน โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ผล โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล แล้วผลกับมรรค แล้วสิ่งต่างๆ หยาบละเอียดต่างกันอย่างไร

แล้วเวลาจะสอนนี่เหมือนโค้ชเลย โค้ชเวลาสอนลูกศิษย์ เห็นไหม ลูกศิษย์มาใหม่ ลูกศิษย์เริ่มต้นตั้งแต่ประพฤติปฏิบัติจะบอกแนะวิธีการ การบริหารร่างกาย การฟิตร่างกายขึ้นมาเพื่อสมควรกับกีฬาชนิดใด แล้วการเริ่มต้น เห็นไหม การออกกำลังกาย เทคนิคควรจะเริ่มต้นจากตรงไหน

เห็นไหม โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล นี่ความหนักความละเอียดของใจที่จะรับสภาวะแบบใด นี่โค้ชเป็นจะทำให้นักกีฬานั้นได้เหรียญ ได้ชัยชนะ นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมาจะเห็นการกระทำของจิต จิตต้องเริ่มต้นจากโสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล แล้วถ้าออกเป็นผลออกมามันถึงจุดสูงสุดแล้ว นักกีฬาพอเขาได้ชัยชนะ เขาได้ความชำนาญของเขา เขาก็ไปเป็นโค้ชได้ เขาก็หวังเป็นวิชาชีพของเขาได้ นั้นก็เป็นเรื่องของโลก

ถ้าเรื่องของธรรม เราก็วิปัสสนาเข้ามา แล้วมันจะเป็นของเรา เป็นธรรมาธิปไตย เอวัง